การทำ SEO เป็นอย่างไร เรียนรู้ด้วยตัวเองได้หรือไม่

การทำ SEO เป็นอย่างไร เรียนรู้ด้วยตัวเองได้หรือไม่

หลายคนคงได้ยินเรื่อง SEO กันบ่อย ๆ อยากทราบใช่ไหมว่าคืออะไร “SEO” (ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization) หมายถึงการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อดึงดูดคนเข้าเว็บทำให้ติดอันดับหน้าแรกๆ บน Google ทำเว็บให้มีคุณภาพและมีคนเข้ามาดูเว็บมากขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายๆ ว่าการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บคือการทำให้มียอดจำหน่ายมากขึ้นในระยะยาวนั่นเอง ทีนี้มาดูกันว่าแนวทางการทำ SEO เป็นอย่างไร

การทำ SEO เป็นแนวทางการดึงเว็บไซต์ให้เลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของ Googleทำให้ผู้คนมองเห็นก่อนและแวะมาเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติที่คนเห็นเว็บไหนก่อนก็จะเลือกคลิกเว็บนั้น หากเว็บอยู่ในหน้าแรกก็มีโอกาสถูกคลิกมากถึง 95% ยิ่งอยู่อันดับแรก ๆ จะมีคนคลิกสูงมาก สำหรับวิธีการดันเว็บไซต์ติดหน้า 1 ต้องปรับแก้รายละเอียดหลายอย่าง ทั้งการใส่คีย์เวิร์ดในบทความ การเพิ่ม Backlink ที่มีคุณภาพมายังเว็บ ส่งผลให้มีโอกาสติดอันดับดี ๆ ในผลการค้นหาและมียอดผู้ชมเว็บไซต์มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเงินโปรโมต

การเขียนบทความถูกหลัก SEO นั้นก็ไม่ได้ง่ายหรือยากเกินไป ส่วนใหญ่คนทำธุรกิจไม่มีเวลามักจะจ้างบริษัทหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำ SEO ให้ รวมถึงจ้างนักเขียนมาช่วยเขียนบทความให้ด้วย ช่วยให้บทความได้รับความสนใจและเว็บไซต์มีปริมาณผู้ชมมากขึ้นจนสามารถทะยานไต่อันดับไปอยู่หน้าแรก ๆ ได้ในที่สุด เนื่องจากปัจจุบันผู้คนจำนวนมากค้นหาข้อมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หากติดอันดับหน้าแรกได้ทำให้คนเห็นก่อนจะมีโอกาสขายได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google จึงเป็นเรื่องสำคัญ
คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่กำลังสงสัยว่าการทำ SEO ด้วยตัวเองทำได้หรือไม่ จริง ๆ แล้วทำได้หลังจากเรียนรู้เข้าใจความหมายของ SEO แล้ว เพราะการจ้างบริษัททำ SEO ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในระยะยาวและต้องทำจ่ายเงินส่วนนี้ไปอย่างต่อเนื่อง

ข้อควรรู้อะไรก่อนเริ่มทำ SEO ต้องเข้าใจสิ่งที่ควรปรับปรุงด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์ โดยกำหนด Header, Body และ Footer ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ เริ่มจาก Header บริเวณด้านบนสุดของหน้าเว็บใช้แสดงชื่อเว็บไซต์ ที่สามารถทำลิงก์ข้ามไปหน้าอื่นในเว็บไซต์ได้ พร้อมทั้งกำหนดชื่อเรื่องหรือ Title ภายในเว็บไซต์ทั้งหมด ถัดไปเป็น Body หรือส่วนกลางของเว็บไซต์ที่ใส่เนื้อหาข้อมูล รูปภาพและวิดีโอ สุดท้ายคือ Footer ส่วนล่างของเว็บไซต์สำหรับใส่ลิงก์ไปหน้าอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้ต้องวางแผนทำตามลำดับอย่างเป็นระบบ ซึ่งหมายความว่าจะเขียนบทความน่าอ่านอย่างเดียวไม่พอ ต้องทั้งใส่คีย์เวิร์ดแล้วอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์ และต้องทำการจัดระเบียบหน้าเว็บไปจนถึงการจัดลิงก์ต่างๆ บนหน้าเว็บให้สอดคล้องกันด้วย
สำหรับมือใหม่อาจจะคิดว่ายุ่งยาก มีเรื่องจุกจิกมาก แต่เชื่อเถอะหากได้เรียนรู้และทำ SEO อย่างเหมาะสม แล้วทำให้คอนเทนต์นั้นมีประสิทธิภาพและทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

บริษัทรับทำ SEO ทำอะไร มีบทบาทยังไงในธุรกิจ

บริษัทรับทำ SEO ทำอะไร มีบทบาทยังไงในธุรกิจ

สำหรับธุรกิจที่กำลังดำเนินตลาดบนโลกออนไลน์ ในยุคนี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของการทำ SEO ไปได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดันอันดับเว็บไซต์และสร้างช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพได้อย่างตรงจุด แต่การที่บริษัทจะลงมือทำ SEO ด้วยตนเองเป็นเรื่องยุ่งยากและอาจไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควร จึงเกิดธุรกิจบริษัทรับทำ SEO ขึ้นมา โดยพวกเขามีบทบาทหน้าที่ดังต่อไปนี้

1.สร้างคีย์เวิร์ดที่ส่งผลดีต่อธุรกิจมากที่สุด
จุดตัดสินว่า SEO ที่ทำจะสามารถจับจุดตลาดได้อยู่หมัดหรือไม่ คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมากที่สุด และมีปริมาณการค้นหาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ซึ่งบริษัทที่ดูแลเกี่ยวกับ SEO จะมีความสามารถในการทำรีเสิร์ชคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพได้ ทำให้การวางแผนสร้างคอนเทนต์บนโลกออนไลน์มีเป้าหมายและแบบแผนที่แน่นอน

2.สร้างคอนเทนต์ตามหลัก SEO
การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ธุรกิจไม่ได้เน้นไปที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องใส่ใจคุณภาพของเนื้อหา ซึ่งถ้าจะสร้างให้ตรงกับหลักการของ SEO มีข้อปฏิบัติยิบย่อยมากมายจนผู้ประกอบการอาจมองข้ามไป ในขณะที่บริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ SEO จะเข้าใจข้อกำหนดเหล่านั้นและสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาได้อย่างถูกต้อง

3.ยกระดับคอนเทนต์บนเว็บไซต์
หลายบริษัทอาจจะมีเว็บไซต์เก่าของตนเองที่เคยสร้างไว้ แต่ผลลัพธ์เรื่องอันดับการค้นหาอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ บริษัทสามารถแก้ไขโครงสร้างของเว็บไซต์และเนื้อหาเหล่านั้นให้มีองค์ประกอบที่ครบถ้วนที่น่าจะถูกใจอัลกอริทึมของ Google จึงสามารถดันอันดับให้สูงขึ้นผ่านบริการของบริษัททำ SEO ได้นั่นเอง

4.สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ
ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ต้องได้รับการใส่ใจ แต่ Backlink ที่เชื่อมโยงกลับมาที่หน้าเพจนับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต้องมีการสร้างคอนเทนต์เป็นจำนวนมากพอสมควรและยังต้องเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพอีกด้วย ซึ่งบริษัททำ SEO สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้เป็นอย่างดี

5.สรุปรายงานติดตามคุณภาพเว็บไซต์
หลังจากดำเนินการทาง SEO อย่างครบถ้วนแล้ว จะต้องมีการติดตามผลและปรับปรุงให้ไปถึงเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบริษัททำ SEO จะมีหน้าที่จัดทำรายงานสรุปความเคลื่อนไหวและกระแสตลาดที่เกิดจาก SEO อย่างลงลึกและตรงประเด็น ทำให้สามารถนำไปต่อยอดกับการขยายธุรกิจให้มั่นคงยิ่งขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าบทบาทของบริษัททำ SEO มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในระยะยาวอย่างแน่นอน ซึ่งโดยทั่วไปการลงทุนเรื่อง SEO มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ด้านอื่น ๆ จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจทุกขนาด แม้แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เช่นกัน จึงนับเป็นการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่สามารถมองข้ามได้เลยในปัจจุบัน

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

เพราะเราต่างก็ทราบกันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การใช้ SEO นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างเห็นผล เพราะ SEO ช่วยปรับปรุงการจัดอันดับแรงค์กิ้งเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ขอแพลตฟอร์มเสิร์ชเอนจิ้น แต่การปรับปรุงปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ด้วยการใช้ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งการทำ SEO ยังถือว่าเป็นงานใหญ่ แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เพราะในที่สุดคุณก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของคุณ ข่าวดีก็คือสามารถทำได้ด้วยตนเองเช่นกันด้วยการใช้ SEO tools

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรีมีอะไรบ้าง
บทความนี้เราจะช่วยให้คุณได้มีทางลัดตัวช่วยในการทำ SEO ด้วยการใช้ SEO tools เพื่อช่วยในการวิจัยและวิเคราะห์การปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ผ่านการตลาดออนไลน์ และด้วยการใช้ SEO tool คุณจะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์บนเมตาแท็กซ์ของแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมี SEO tools ให้คุณสามารถเลือกใช้ฟรี ๆ ได้อีกด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

1.Google PageSpeed Insights
เครื่องมือ SEO tools ที่จะช่วยตรวจสอบในเชิงลึกเกี่ยวกับความเร็ว ความสามารถในการเข้าถึง และการใช้งานเว็บไซต์ของคุณจาก Google โดยจะทดสอบเวลาในการโหลดและประสิทธิภาพของการเข้าถึง URL ของเว็บไซต์ของคุณ

2.Ahrefs Webmaster Tools
เครื่องมือ SEO tools นี้จะช่วยให้คุณเห็นการจัดอันดับคำค้นหลักทั่วไปของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณและจะให้คำแนะนำในการปรับปรุงการเชื่อมโยงคำค้นหลักกับเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้คุณตรวจสอบและปรับปรุงการเพิ่มอันดับของคุณในเสิร์ชเอนจิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นเครื่องมือการตรวจสอบทางเทคนิคที่มีประโยชน์มาก

3.Google Analytics
เครื่องมือ SEO tools ที่แสดงสถิติเว็บไซต์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือในเชิงวิเคราะห์ที่เปิดให้ใช้ฟรีที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ได้ทุกบิท พร้อมทั้งรายงานผลการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณว่าได้รับการเยี่ยมชมจากการค้นหาโดยทั่วไปหรือไม่อย่างไร ทำให้คุณเห็นเส้นทางการเชื่อมโยงของคุณจากผู้เข้าชมได้อย่างชัดเจนที่สุด

SEO tools เหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำ SEO ได้อย่างมากมาย ช่วยลดเวลาการวิจัยหาคำค้นหลักซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อและต้องใช้เวลานาน ด้วยการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจาก SEO tools คุณจะสามารถได้รับประโยชน์จาก Big Data ซึ่งคุณจะวิเคราะห์ได้ว่า เว็บไซต์ของคุณควรจะใช้กลยุทธ์อะไร และควรจะปรับแต่งอย่างไร อีกทั้งยังช่วยให้คุณติดตามคู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสให้เร็วที่สุดและดีที่สุดได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของธุรกิจหลายเว็บไซต์ การใช้ SEO tools จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ

เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจด้วยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจด้วยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ถ้าหากว่าพูดถึง SEO เชื่อเลยว่าต้องคุ้นหูกันอย่างแน่นอน โดย SEO นั้นย่อมาจาก Search engine optimization เป็นหนึ่งในวิธีการที่หลาย ๆ แบรนด์นำมาใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจติดอันดับเวลาที่มีการกดค้นหาผ่านหน้าเว็บค้นหาต่าง ๆ ซึ่งข้อดีของการทำ SEO ก็มีมากมายหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือช่วยทำให้อันดับเว็บไซต์อยู่ในลำดับต้น ในหน้าการค้นหาแรก ๆ ของการค้นหาเมื่อมีการกดค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ผู้คนสนใจหรือเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของแบรนด์ควรต้องรู้
วิธีการทำ SEO สามารถทำได้หลายวิธี เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่าง การเลือก Domain name ที่ดีมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ เพื่อให้ทางเว็บค้นหาและลูกค้าสามารถรู้ได้ถึงผลิตภัณฑ์และแนวทางของเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์
ในส่วนของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ก็ควรมีการลงเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ใช่อัปเดตนาน ๆ ทีครั้งหรือลงเนื้อหาเยอะ ๆ ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ควรมีเนื้อหาใหม่ ๆ ที่มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ผู้คนกดค้นหามาลงภายในเว็บไซต์เป็นประจำ พูดง่าย ๆ ก็คือมีการอัปเดตเนื้อหา ข้อมูล บทความภายในเว็บไซต์อยู่ตลอด ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อเว็บไซต์ ดีต่อกระบวนการ search engine ทั้งนี้ก็ควรที่จะเป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่การคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น ๆ มาใช้ลงในเว็บไซต์ของตนเอง
มากไปกว่านั้นภายในเว็บไซต์ก็ควรที่จะมีภาพ มีวิดีโอประกอบนอกเหนือจากเนื้อหาด้วย ซึ่งสามารถสอดแทรกคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เข้าไปที่ใต้รูปภาพหรือวิดีโอได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็จะมีผลต่อการจัดอันดับหรือการให้คะแนนของทาง google ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเนื้อหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอก็ควรที่จะตอบโจทย์ข้อมูลที่ผู้คนต้องการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ
และที่สำคัญอย่าลืมที่จะวางรูปแบบหรือโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ง่ายต่อการค้นหา รวมถึงรูปแบบที่มีการรองรับการเข้าใช้งานภายในเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย ควรต้องมีความง่าย มีความสะดวกในการเข้ารับชม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจก็ควรที่จะต้องปรับตัวให้ทันด้วย
และทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นมีขั้นตอนมากมาย ประกอบไปด้วยหลายองค์ประกอบ สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและเพิ่มความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ได้จริง สามารถนำไปทำตามได้ไม่ยาก แต่ต้องมีแนวทางที่ดีและความสม่ำเสมอในการทำ

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

ในปัจจุบันนี้สำหรับการทำธุรกิจต่างๆ การทำการตลาดในช่องทางออนไลน์จะถือว่าสำคัญมาก ๆ เพราะเราต้องยอมรับว่า สมาร์ทโฟนนั้นปฏิวัติการทำการตลาดอย่างสิ้นเชิง ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ผ่านทางสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงจริง ๆ เพราะสะดวกสบาย รวดเร็ว และที่สำคัญ สมาร์ทโฟนนั้นอยู่ติดกับตัวผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายเกือบตลอดเวลา และโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม จากผลงานวิจัยที่ผ่านมาเราพบว่า ธุรกิจโรงแรมเป็นกลุ่มที่ทำ SEO มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด เมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น แทบจะทั้งหมดต่างก็มีเว็บไซต์เป็นช่องทางการสื่อสารเผยแพร่ข้อมูลทางออนไลน์ ดังนั้นหากเว็บไซต์ของโรงแรมมีผู้เข้าชมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินค่าโฆษณา อัตราผลกำไรย่อมจะยิ่งดีขึ้น นั่นก็เพราะการทำ SEO จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับกลไกช่องทางในการค้นหาโรงแรมที่พักของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

โดย SEO จะทำให้ผลการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้เจอกับหน้าเว็บไซต์ของโรงแรมของคุณก่อนในอันดับต้น ๆ ของเสิร์ชเอ็นจิ้นอย่างเช่น กูเกิ้ล และนั่นหมายความว่าเมื่อโรงแรมของคุณอยู่ในลำดับต้น ๆ ของการค้นเจอของลูกค้า ก็เท่ากับว่าลูกค้าจะเข้าชมเว็บไซต์ของโรงแรมได้มากขึ้น อัตรายอดจองจะมากขึ้น และในที่สุด ก็ย่อมจะนำมาซึ่งผลกำไรและความสำเร็จที่มากขึ้นนั่นเอง

นอกจากนั้น SEO ก็ยังทำให้โรงแรมสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ตรงกับลักษณะของธุรกิจโรงแรมได้มากขึ้น เพราะผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของโรงแรมส่วนใหญ่ ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าซึ่งมีความสนใจมุ่งเป้าเจาะจงกับข้อเสนอ และเงื่อนไขของโรงแรมอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับการตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นลักษณะให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ออกไปในวงกว้าง ดังนั้นอัตราสัดส่วนของการที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะกลายเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและตัดสินใจจองโรงแรมนั้น จึงมีสัดส่วนอัตราเฉลี่ยการจองห้องที่มากกว่าเมื่อเทียบกับการตลาดในแบบเดิม ๆ อย่างเห็นได้ชัด และนั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของโอกาสในการขายหรือ การยืนยันยอดจองห้องจึงมากกว่า

SEO ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เพราะจะต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะผลักดันให้เว็บไซต์โรงแรมของคุณขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้ แต่ข้อได้เปรียบหลัก ก็คือ SEO จะสร้างรายได้ให้กับโรงแรมได้มากกว่าในระยะยาว และยังช่วยให้โรงแรมของคุณมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากลูกค้ามักจะตัดสินใจและให้ความสำคัญกับผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ เสมอ อีกทั้งเมื่อจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ของโรงแรมมากขึ้น ก็จะช่วยให้โรงแรมสามารถนำสถิติการเข้าชมมาปรับปรุงกลยุทธ์ เพิ่มโปรโมชั่นให้กับกลุ่มลูกค้าที่ตรงเป้าหมายได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

และที่สำคัญ สำหรับธุรกิจโรงแรมแล้ว เว็บไซต์ก็เหมือนหน้าบ้านของธุรกิจ เพราะเป็นพื้นที่สำหรับให้ข้อมูลและการบริการให้กับลูกค้า ดังนั้นหากโรงแรมของคุณเป็นที่รู้จัก เพราะผู้คนต่าง ๆ หาเจอได้ง่ายมากที่สุดในเสิร์ชเอ็นจิ้น ก็หมายความว่าโรงแรมของคุณจะได้เปรียบสำหรับการตัดสินใจจองห้องพักของลูกค้าได้ก่อนใคร และครอบครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า และเร็วกว่าโรงแรมอื่น ๆ นั่นเอง

เจาะเทรนด์บทความ SEO รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

เจาะเทรนด์บทความ SEO รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

ในการเขียนบทความ SEO นอกจากจะมีรูปแบบและหลักการของการเขียนแล้ว เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับการค้นหาใน Search Engine ยอดนิยม ก็ยังมีเรื่องของเทรนด์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการทำ SEO เองก็มีการอัปเดตรูปแบบของกลยุทธ์ของตัวเองไม่ต่างจากการคิดแผนธุรกิจตามกระแสความนิยมเหมือนกัน

Google ชอบ บทความแบบ Long-Form

เทรนด์ของบทความ SEO ในปัจจุบันมีรูปแบบของการเลือกความยาวหรือจำนวนคำที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่อาจนิยมกันที่ 500-600 คำ ก็พอ แต่จากผลสำรวจที่ผ่านมาพบว่าบทความ SEO ที่จะช่วยสร้างให้เกิด Traffic เข้ามาที่เว็บไซต์ของธุรกิจมากขึ้น

ซึ่งบทความแบบ Long-Form ที่ว่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คำเลยทีเดียว จำนวนคำที่เยอะขนาดนี้อาจเป็นปัญหาได้เราต้องดูเทรนด์การอ่านของลูกค้าประกอบด้วย ถ้าจะให้ง่ายควรเขียนแยกหัวข้อ จัดสัดส่วนของบทความและเนื้อหาให้กระชับ จะช่วยให้คนอยากอ่านมากขึ้น

การเชื่อมต่อบทความไปยังส่วนอื่น

บทความ SEO ที่ดี เดี๋ยวนี้จะอยู่โดด ๆ ไม่ได้ เทรนด์ที่กำลังนิยมและจะช่วยสร้างให้เกิด Traffic ที่มากขึ้นได้ก็คือการใส่การเชื่อมโยงบทความ SEO ของธุรกิจไปยังส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น การใช้ Heading Tag ในการกำหนดหัวข้อย่อยด้วยการใส่ Keyword เข้าไป

รวมไปถึงการเลือกใส่ทั้ง Internal และ External Link ในบทความทั้งส่วนที่เป็นเนื้อความและส่วนที่เป็น Keyword ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงในไซต์ของธุรกิจเอง และไซต์ของที่อื่นที่จะพา Traffic เข้ามาหาเราได้ด้วยเช่นกัน

Picture และ Video Content เทรนด์ใหม่มาแรง

อีกหนึ่งเทรนด์ของการทำ SEO ที่มาแรงสุด ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรามักจะเห็น Suggestion จาก Google ที่ออกมาเป็นภาพหรือวิดีโอมากขึ้น เราสามารถจับเทรนด์ตรงนี้เข้ากับบทความของเราได้ ด้วยการใส่ภาพหรือวิดีโอเข้าไปในเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนต์ของธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าที่นิยมใช้แพลตฟอร์มประเภทภาพและวิดีโอได้มากขึ้น

การเลือกภาพและวิดีโอมาใส่ในบทความบนเว็บไซต์จะต้องใส่ใจในรายละเอียดของเนื้อหาให้ดี ไม่ว่าจะเป็นประเภทรูปแบบของภาพ แม้กระทั่งการกำหนดชื่อไฟล์ของเนื้อหาที่ต้องจริงจัง อย่างการใช้คำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) รายละเอียดพวกนี้สำคัญมาก เพราะจะถูกนับไปรวมกับการทำ SEO ทั้งหมด

การเข้าใจถึงเทรนด์ในการทำ SEO จะช่วยให้การเขียนและนำบทความ SEO ไปใช้ของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น และด้วยการวางแผนกลยุทธ์ตามเทรนด์ของ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจสามารถอยู่ในหน้าการค้นหาแรกที่ลูกค้าจะเห็นธุรกิจของคุณได้ก่อนใคร

3 ข้อควรระวังของการใช้ SEO

ข้อควรระวังของการใช้ SEO

SEO มีต้นทุนการตลาดน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ Marketing รูปแบบอื่น และใช้ได้ผลเมื่อต้องการให้ธุรกิจส่งของออนไลน์ หรือ E-Commerce ติดอันดับการค้นหาใน Google แต่ SEO ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน หากปฏิบัติตามหลักที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้ยอดมองเห็นเว็บของเราน้อยลง ซึ่งมีข้อห้ามที่ควรรู้อยู่ 3 ข้อ หากรู้แล้วจะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของเราไปได้สวยแน่นอน

ทำ Content เกี่ยวกับ “ช่วงเวลา”

ความหมายคือ เราเลือกทำ SEO โดยมีเงื่อนไขของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น SEO เรื่องสินค้าการเกษตร โดยปกติแล้ว สินค้ากลุ่มนี้จะให้ผลตามเวลาเก็บเกี่ยว หากเป็นช่วงนอกฤดูจะมีคนเลือกทานผลไม้นั้น ๆ ลดลง ถ้าเราเลือกทำ SEO เรื่อง “ทุเรียน” แม้จะสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ทำทุกอย่างถูกหลัก แต่ปล่อย content ขึ้นบนเว็บ “ช่วงหน้าหนาว” จะไม่ได้ยอดการมองเห็นเว็บตามที่ต้องการ เพราะคนไม่ทานทุเรียนหน้านี้กัน วิธีหนึ่งที่เราสามารถเช็กเบื้องต้นได้ว่า สินค้าของเรามีผลของฤดูกาลมาเกี่ยวข้องไหม
โดยใช้ Google Trend เป็นการเช็กเบื้องต้นว่า ยอดคนค้นหาขึ้นลงตามเวลาหรือไม่ กราฟที่มีผลของฤดูกาลจะขึ้นลงสูงผิดปกติ ดังเช่นทุเรียนที่ออกผลผลิตช่วงหน้าฝน เห็นได้จากยอดการค้นหาเดือนมิถุนายน -กรกฎาคม จะสูงผิดปกติ และกลับมาเหมือนเดิมหลังจากนั้น และสินค้าอย่างเสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว มีลักษณะเช่นเดียวกับทุเรียนด้วย การทำ SEO ควรเลือก Topic ที่ไม่มีผลของฤดูกาลมาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคนจะมองไม่เห็นเว็บของเราต่อเนื่องตลอดทั้งปี

Backlink ไม่มีคุณภาพ

ทุกบทความที่เขียนขึ้นแม้ว่าจะคิดใหม่ทั้งหมด แต่ต้องมี Reference เป็นข้อมูลเบื้องหลัง การเลือกใส่ Ref คือการทำ “backlink” ซึ่งเว็บไหนได้การอ้างอิงเยอะ ก็เหมือนได้คะแนนโหวตเยอะ และอย่าคิดว่าข้อมูลที่นำมาเขียนไม่มีความสำคัญต่อการจัดลำดับ โดย Backlink ที่ดีควรมีข้อมูลคุณภาพ ได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์อื่น หากนำข้อมูลมาจากเว็บที่แย่จะเป็นดึงอันดับของเว็บไซต์เราให้ไม่มีคุณภาพไปด้วย เว็บที่แนะนำในการทำ backlink คือเว็บในหน้าแรกของ Google หลังจากที่มีการค้นหาคำที่ต้องการ
และสามารถนำเว็บไซต์ที่จะเลือกอ้างอิงไปเช็ก backlink อีกครั้งด้วยการค้นหาในเว็บ Ubersuggest

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

การจะให้เว็บไซต์ของเราติดอยู่หน้า 1 ของ Google ให้นานที่สุดควรเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ นั่นคือควรมีความยาวอย่างน้อย 500 คำ แต่ถ้ายาวเกินไปก็ไม่ดี ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะกดออกก่อน เพราะเนื้อหาเยอะเกินไป และเมื่อมีคนกดออกเร็วเกินไป AI จะมองว่าเนื้อหาที่เขียนไม่มีคุณภาพ และจัดอันดับเว็บไซต์เราอยู่หน้าอื่น ทำให้การขายสินค้าและโปรโมทไม่สามารถทำได้ตามที่ต้องการ

ทั้งนี้การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ แต่หัวใจหลักสำคัญจริง ๆ คือเนื้อหาควร Unique จนเว็บอื่นนำเราไปอ้างอิง

บทความ SEO คุณภาพ สิ่งที่จะช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

บทความ SEO คุณภาพ

การที่เว็บไซต์จะประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหานั้นจำเป็นต้องทำ SEO ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการทำ SEO นั้นคือมีบทความ SEO คุณภาพอยู่ในเว็บไซต์นั้น

บทความ SEO คืออะไร ?

คือบทความที่มีคุณภาพ มีความชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาอยู่ในนั้น สอดคล้องกับ Search Engine Algorithm หรือกระบวนการค้นหา

บทความ SEO ประกอบไปด้วย

  • หัวข้อ – หัวข้อต้องมีคีย์เวิร์ด หรือขึ้นต้นด้วยคีย์เวิร์ดได้ยิ่งดี ควรมีความยาวประมาณ 40-60 ตัวอักษร เขียนให้ดึงดูดคนอ่านและกระตุ้นความสงสัย ตัวอย่างเช่น “ งานออนไลน์ แชตคุยกับลูกค้า ทำวันละ 4 ชม. ได้วันละ 1,000 จริงหรือ ”
  • คำนำ – เกริ่นนำว่าบทความนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำไมถึงเป็นประเด็น ประมาณความยาวไม่เกิน 100 คำ ตัวอย่างเช่น “ ทุกวันนี้จะเห็นโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก งานออนไลน์ทำเบา ๆ แต่ได้เงินวัน 1,000 เศรษฐกิจฝืดเคือง พอเห็นแบบนี้ก็ยั่วยวนใจไม่ใช่น้อย”
  • เนื้อเรื่อง – เขียนถึงข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่างานออนไลน์แบบนี้มีกี่ประเภท โดยเรียงลำดับ 1 2 3 เช่น 1. อาชีพขายตรงที่เราต้องซื้อสินค้าเขามาตุนไว้ก่อน 2. เทรดหุ้นออนไลน์ 3. ขายประกัน เขียนถึงรายละเอียด ช่องทางการสมัคร ข้อดีและข้อเสีย

สรุป

สรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดให้ครอบคลุมพร้อมกับให้ข้อคิดเตือนใจ เช่น “ อาชีพแบบนี้ได้แก่อาชีพ……… ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ ”

การตั้งค่า SEO ให้กับบทความ

ถ้าใครทำเว็บไซต์นั้นจะมีโปรแกรมตั้งค่า SEO เพิ่มเติมให้กับบทความดังนี้

  1. Title คือหัวข้อหรือชื่อเรื่องนั่นเอง เป็นอันเดียวกันกับบทความที่เราเขียนไป
  2. Discription อธิบายรายละเอียดเนื้อหาของบทความว่าเกี่ยวข้องกับอะไร แนะนำความยาว 120-150 ตัวอักษร
  3. Keyword Keyword ก็คือคำค้นหาที่คาดว่าคนทั่วไปจะพิมพ์ค้นหา Keyword ควรสอดคล้องกับเนื้อหาในบทความ อย่างเช่นคำว่า “ งานออนไลน์, ทำงานที่บ้าน, ทำงานในเน็ต, งานอินเทอร์เน็ตวันละ 1,000 ” ใส่ประมาณไม่เกิน 20 คำ
  4. รูปภาพประกอบ ใส่รูปภาพประกอบแล้วใส่ Alt หรือคำอธิบายรูปภาพ โดยใส่เป็น Keyword เช่นใส่คำว่า “ งานออนไลน์ ” แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้ทุกรูป Alt เป็น Keyword ควรใส่บางรูปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสแปม

ควรโพสต์บทความใหม่บ่อยแค่ไหน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากไม่ใช่เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ใหม่ควรลงบทความเรื่อย ๆ สัปดาห์ละประมาณ 3 บทความ ไม่ควรลงทุกวันเพื่อให้ Google ได้มีเวลา Index หรือเอาบทความเข้าระบบ เว็บไซต์เก่าควรโพสต์สัปดาห์ละ 1 บทความ ไม่ควรอัดบทความจำนวนมาก ๆ ให้กับเว็บไซต์

โครงสร้างของเว็บไซต์ที่จำเป็นคือบทความ ยิ่งบทความมีคุณภาพ มีความชัดเจน ตอบโจทย์ผู้อ่านก็ยิ่งดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับมากขึ้น บทความ SEO ก็คือบทความคุณภาพทั่วไปหากแต่นำมาปรับแต่งให้มีความชัดเจนเพื่อการค้นหา ความถี่ในการลงบทความใหม่ควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ

อยากให้ธุรกิจปังและดังไว Tiktok SEO ช่วยคุณได้

อยากให้ธุรกิจปังและดังไว Tiktok SEO ช่วยคุณได้

Tiktok หนึ่งในแอปพลิเคชันจากจีนที่มีสถิติผู้ใช้งานระดับ 1,000 ล้านคนได้ไวที่สุด โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่ผ่าน จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ไปแล้ว ด้วยวิธีการ Tiktok SEO เพราะสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด

ทำไมต้อง SEO Tiktok

จากสถิติ Backlinko ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถิติผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Tiktok ดังนี้

  • เดือนมกราคม 2018 มีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลก 54,793,729 คน/ เดือน
  • เดือนธันวาคม 2018 มียอดผู้ใช้งานทั่วโลก 271,188,301 คน
  • เดือนธันวาคม 2019 มียอดผู้ใช้งานทั่วโลก 507,552,660 คน
  • เดือนกรกฎาคม 2020 มียอดผู้ใช้งานทั่วโลก 689,174,209 คน
  • เดือนกันยายน 2021 มียอดผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 1,000 ล้านคน

เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา มีจำนวน Users ที่ Active มากถึง 100 ล้าน Users หากนับรวมผู้ใช้งานทั่วโลกที่มีการ Active เฉลี่ยตกเดือนละ 1,000 ล้านคน ส่งผลให้เกิด ดาวติ๊กต๊อก หรือ Influencer จำนวนมากและยอดการจ่ายเงินให้กับดาวติ๊กต๊อกเหล่านั้นมากกว่า 5 ล้านเหรียญดอลลาร์/ปี โดยส่วนใหญ่จะเป็น Content ประเภท เอนเตอร์เทนคนดู เช่น Dacne, pranks, fitness/ sport แล้วก็การทำ DIY

Search Engine จัดอันดับ VIDEO Tiktok

ในขณะที่ Google เองก็มีการจัดอันดับในการค้นหาเกี่ยวกับ VIDEO ของ ติ๊กต๊อก นี้ด้วย ทำให้เกิดการค้นหา VIDEO Tiktok ได้ง่าย รวดเร็วและตรงเป้าหมาย โดยเฉพาะการใส่ #แฮชแท็ก นับเป็น keyword ที่ค้นหาได้ไวและมีประสิทธิภาพสูงสุด หากธุรกิจใดที่ต้องการให้ Search Engine หาเจอได้ง่ายและไว จะต้องศึกษาเกี่ยวกับ Keyword ยอดนิยมและตรงกลุ่มที่เป็นเป้าหมายในการทำการตลาด เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ Tiktok SEO มีประสิทธิภาพมากที่สุด

สร้างเนื้อหาให้ยาวขึ้น รองรับเวลาใหม่

เดิมที Tiktok จะจำกัดเวลาของคลิป Video ไม่เกิน 60 วินาที แต่ปัจจุบันมีการปรับปรุง แก้ไขให้สามารถรองรับคลิป Video ให้ยาวนานขึ้น ทำให้ผู้ชมใช้เวลาในคลิปนานขึ้น สร้างยอดคนดูได้มากขึ้น เนื้อหาที่ทำลงไปก็ควรมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะกับการใช้ Long tail keyword ให้เหมาะสม สำหรับการทำ SEO Tiktok ก่อนที่จะใส่ แฮชแท็ก เพื่อพาผู้ชมไปต่อยังแอปพลิเคชันอื่นที่เราต้องการจะขายสินค้า เช่น เว็บไซต์ ยูทูป เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม เป็นต้น

Tiktok นับเป็นแอปพลิเคชันที่มีผู้คนจำนวนมากใช้งานและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้กลับกลายเป็นสหรัฐกำลังจะแบน Tiktok ออกจากการดาวน์โหลดทั้งระบบ iOS และ Android เนื่องจากข้อมูลของผู้ใช้หลุดรอดออกไปและกล่าวหาว่าแอปพลิเคชันเป็นดั่ง SPY เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของหัวเหว่ย ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่าอนาคตของติ๊กต๊อกจะเป็นเช่นไร รู้แต่ว่าในวันนี้หากอยากจะดังให้ปังสุด ๆ SEO Tiktok สามารถช่วยคุณได้

เลือกทางผิดเว็บไซต์เปลี่ยน กับ SEO ทั้ง 3 สาย

เลือกทางผิดเว็บไซต์เปลี่ยน กับ SEO ทั้ง 3 สาย

เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกับการทำ SEO นั่นก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้เว็บไซต์ของตนเองสามารถติดอันดับการค้นหาของ Google ได้ ภายใต้กฎ กติกาและเงื่อนไขที่ทาง Google กำหนด เราจะเรียกคนที่ทำตามกติกานี้ว่า SEO สายขาว แต่ในมุมสว่างย่อมมีมุมมืดเสมอนั่นคือการทำ SEO สายเทา และ SEO สายดำ ซึ่งการทำ SEO ทั้ง 3 สายมีความแตกต่างกันอย่างไรไปดูกันเลย

1.WHITE HAT SEO

SEO สายขาว คือการทำ SEO ที่เป็นไปตามกฎ กติกาที่ทาง Google เป็นผู้กำหนดขึ้นมา โดยจะเน้นไปที่คุณภาพของเว็บไซต์เป็นหลัก มีเนื้อหาและข้อมูลเป็นที่น่าติดตาม มีความรู้ที่น่าสนใจ เป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและ Backlink ที่มีคุณภาพ สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงให้แก่เว็บไซต์หรือผู้ใช้งานอื่น ๆ ได้

  • คุณลักษณะที่สำคัญของเว็บไซต์ที่ทำ SEO สายขาว
  • เนื้อหาและบทความจะต้องไม่มีการทำซ้ำ copy จากเว็บไซต์อื่น
  • ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ในเรื่องของรูปภาพและเนื้อหาอื่น ๆ
  • มีการทำ Research Keyword อย่างดี
  • Backlink มีความน่าเชื่อถือ
  • ไม่ทำ Spam Keyword
  • รองรับการใช้งานทั้งคอมพิวเตอร์และมือถือ

2.GREY HAT SEO

SEO สายเทา คือ การอาศัยช่องโหว่ของ สายขาวและสายดำมาประยุกต์ เพื่อไม่ให้ Ai ของ Google สามารถตรวจจับได้ ซึ่งจะให้ผลการค้นหาเร็วกว่าการทำสายขาวเพียว ๆ หรือพูดง่าย ๆ คือ เล่นในกติกาแต่มีตุกติกบ้าง แม้จะเสี่ยงการโดนแบนจาก Google แต่เสี่ยงน้อยกว่า หรือถ้าหากโดนทำโทษก็โดนไม่มากเหมือนเช่นการทำ SEO สายดำ ซึ่ง SEO สายเทา มีการแข่งขันสูงมาก เพราะนอกจากจะช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ไวแล้ว ยังต้องรักษากฎกติกาให้เป็นไปตามที่ Google กำหนดอีกด้วย หากจะเปรียบเทียบกับนักกีฬาก็เหมือนพวกที่แอบใช้สารกระตุ้นที่กว่าจะตรวจพบก็แข่งขันจบไปแล้วนั่นเอง

3.BLACK HAT SEO

SEO สายดำ ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสายขาว ดังนั้น SEO ทุกอย่างที่ทำจะอยู่นอกเหนือกฎ กติกาของ Google ซึ่ง SEO สายดำเป็นการอาศัยช่องโหว่ของอัลกอริทึมของ Google ล้วน ๆ โดยอาศัยการตลบหลัง Ai ของ Google อีกทีหนึ่ง คล้าย ๆ ดักปล้นรถขนเงินที่ขนเงินออกจากธนาคาร พอได้ข้อมูลจาก Ai ของ Google ก็นำไปวิเคราะห์และจัดการช่องโหว่ที่มี ส่งผลให้เว็บไซต์จัดอันดับการค้นหาอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าแซงสายขาวภายในวันเดียวทั้งที่สายขาวอุตส่าห์ทำมาเป็นปี ๆ เลย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะโดน Google แบนด้วยการไม่แสดงผลหน้าเว็บไซต์นั้นตลอดกาล ยิ่งในปัจจุบัน Ai ของ Google มีการพัฒนาและตรวจจับที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ก็เพื่อป้องกันเว็บไซต์ที่อาศัยการทำ BLACK HAT SEO นี้ เพื่อผู้ใช้งานจะได้เข้าถึงเนื้อหาที่ดีที่สุดและปลอดภัยด้วย

ยกตัวอย่างการทำ SEO สายดำ

  • Spam Link การทำลิงก์ไม่มีคุณภาพ ลิงก์เสียชี้มาที่เว็บไซต์ เช่น โฆษณาต่าง ๆ จากเว็บพนัน, เว็บหนังเถื่อน เป็นต้น
  • Cloaking การซ่อนเนื้อหาที่มีความสลับซับซ้อนหลาย ๆ ขั้นตอนเพื่อปกปิด อำพราง
  • Keyword Stuffing การมุ่งเน้นแต่ Keyword เดิม ๆ ไม่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน

การทำ SEO ทั้ง 3 แบบ สายไหนดี สายไหนยั่งยืน สายไหนโกง ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเว็บไซต์แล้วว่าอยากให้เว็บไซต์ของตนเองอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดไปหรือไม่ หรือต้องการโดนแบนไปตลอด หากคุณหวังที่จะสร้างเว็บที่ดีมีคุณภาพแล้วล่ะก็ การทำ SEO สายขาวที่อยู่ในกรอบกติกาดูจะมีภาษีดีกว่า แม้จะค่อยเป็นค่อยไปแต่เติบโตแบบยั่งยืน ดีกว่าดังได้วันเดียวแล้วหายไปเลย