บทความ SEO

8 เคล็ดลับสร้างบทความ SEO ที่นักเขียนมือใหม่ก็ทำได้บนกระดาษแผ่นเดียว

8 เคล็ดลับสร้างบทความ SEO ที่นักเขียนมือใหม่ก็ทำได้บนกระดาษแผ่นเดียว

ในปัจจุบันการทำเว็บไซต์ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจขายสินค้า/บริการ การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหา (Search engine) เช่น Google, bing, Baidu, Yahoo, Yendex และอื่น ๆ นอกจากจะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มยอดขายสินค้า/บริการด้วย ซึ่งการเขียนบทความ SEO จะช่วยผลักดันเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ได้

เชื่อว่านักเขียนบทความมือใหม่หลายคนต้องคิดว่าการเขียนบทความ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) อาจเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่มีความรู้ด้าน SEO ด้วยแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย บทความนี้จะมาบอกเคล็ดลับสร้างบทความ SEO ที่นักเขียนมือใหม่ก็ทำได้แบบหมดเปลือก

เคล็ดลับสร้างบทความ SEO ที่นักเขียนมือใหม่ก็ทำได้

1.วิเคราะห์คำค้นหา (Keyword) หากต้องการสร้างบทความ SEO ให้แสดงผลในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนลงมือเขียนบทความเสมอ คือ การวิเคราะห์คำค้นหา เนื่องจากคำค้นหาที่ดีจะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์คำค้นหา ได้แก่ Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เป็นต้น

2.กลยุทธ์ในการเขียนบทความ การพัฒนากลยุทธ์ในเขียนบทความเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มตั้งแต่การคิดหัวข้อบทความที่จะเขียน สไตล์การเขียน รูปภาพประกอบบทความ ความถี่ในการเผยแพร่บทความล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทั้งสิ้น

3.ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจ ชื่อบทความเป็นข้อความแรกที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการตัดสินใจว่าจะเข้ามาอ่านหรือไม่ การเลือกใช้คำพาดหัว หรือการแต่งประโยคให้น่าสนใจจึงเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมาก

4.เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ คุณภาพของเนื้อหาบทความมีความสำคัญต่อการจัดอันดับที่สูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพ คือ ต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน อัปเดตเป็นปัจจุบันและเป็นประโยชน์ต่อ

5.แบ่งหัวข้อเป็น Bullet หัวข้อย่อยเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับ SEO เพราะนอกจากจะทำให้เกิดความสบายตาเวลาอ่าน ยังทำให้จับประเด็นได้ง่าย โดยส่วนนี้ควรมีคำค้นหาอยู่ในหัวข้อด้วย

6.เทคนิคการเล่าเรื่องแบบ Storytelling การใช้เทคนิค Storytelling ให้กลุ่มเป้าหมายอยากอ่านให้จบ อ่านง่ายและมีความเป็นกันเองเป็นสิ่งที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาอยู่บนหน้าเว็บไซต์ได้นานขึ้น ยิ่งกลุ่มเป้าหมายใช้เวลาบนเว็บไซต์นานเท่าไหร่ยิ่งทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น

7.การเพิ่มลิงก์เชื่อมโยง การเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นเข้ามาเว็บไซต์เรา หรือเว็บไซต์เราไปยังเว็บไซต์อื่นมีความสำคัญต่อ SEO แต่ลิงก์ที่ดีควรเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพ โดยเทคนิคง่าย ๆ คือ การเชื่อมโยงลิงก์หน้าเพจของเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราเขียนเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ไม่ควรใส่ลิงก์มากเกินไป เพราะการใส่ลิงก์เยอะเกินความจำเป็นจะทำให้ Search Engine มองว่าเป็นการสแปมลิงก์ได้

8.ปรับคำอธิบาย Meta การเขียนคำอธิบายบทความเป็นประโยคสั้น ๆ สรุปใจความสำคัญว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอะไร หรือกลุ่มเป้าหมายได้ประโยชน์อะไรจะทำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจเข้ามาอ่านได้ง่ายขึ้น โดยในส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ควรแทรกคำค้นหาหลักเอาไว้ด้วย

8 เคล็ดลับสร้างบทความ SEO ที่นักเขียนมือใหม่ก็ทำได้นี้เป็นการสรุปส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ หากต้องการผลิตงานเขียนที่มีคุณภาพเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของเว็บไซต์ นักเขียนควรหมั่นฝึกฝนเคล็ดลับเหล่านี้อยู่เสมอ

เจาะเทรนด์บทความ SEO รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

เจาะเทรนด์บทความ SEO รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

ในการเขียนบทความ SEO นอกจากจะมีรูปแบบและหลักการของการเขียนแล้ว เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับการค้นหาใน Search Engine ยอดนิยม ก็ยังมีเรื่องของเทรนด์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะการทำ SEO เองก็มีการอัปเดตรูปแบบของกลยุทธ์ของตัวเองไม่ต่างจากการคิดแผนธุรกิจตามกระแสความนิยมเหมือนกัน

Google ชอบ บทความแบบ Long-Form

เทรนด์ของบทความ SEO ในปัจจุบันมีรูปแบบของการเลือกความยาวหรือจำนวนคำที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนที่อาจนิยมกันที่ 500-600 คำ ก็พอ แต่จากผลสำรวจที่ผ่านมาพบว่าบทความ SEO ที่จะช่วยสร้างให้เกิด Traffic เข้ามาที่เว็บไซต์ของธุรกิจมากขึ้น

ซึ่งบทความแบบ Long-Form ที่ว่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คำเลยทีเดียว จำนวนคำที่เยอะขนาดนี้อาจเป็นปัญหาได้เราต้องดูเทรนด์การอ่านของลูกค้าประกอบด้วย ถ้าจะให้ง่ายควรเขียนแยกหัวข้อ จัดสัดส่วนของบทความและเนื้อหาให้กระชับ จะช่วยให้คนอยากอ่านมากขึ้น

การเชื่อมต่อบทความไปยังส่วนอื่น

บทความ SEO ที่ดี เดี๋ยวนี้จะอยู่โดด ๆ ไม่ได้ เทรนด์ที่กำลังนิยมและจะช่วยสร้างให้เกิด Traffic ที่มากขึ้นได้ก็คือการใส่การเชื่อมโยงบทความ SEO ของธุรกิจไปยังส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น การใช้ Heading Tag ในการกำหนดหัวข้อย่อยด้วยการใส่ Keyword เข้าไป

รวมไปถึงการเลือกใส่ทั้ง Internal และ External Link ในบทความทั้งส่วนที่เป็นเนื้อความและส่วนที่เป็น Keyword ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงในไซต์ของธุรกิจเอง และไซต์ของที่อื่นที่จะพา Traffic เข้ามาหาเราได้ด้วยเช่นกัน

Picture และ Video Content เทรนด์ใหม่มาแรง

อีกหนึ่งเทรนด์ของการทำ SEO ที่มาแรงสุด ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรามักจะเห็น Suggestion จาก Google ที่ออกมาเป็นภาพหรือวิดีโอมากขึ้น เราสามารถจับเทรนด์ตรงนี้เข้ากับบทความของเราได้ ด้วยการใส่ภาพหรือวิดีโอเข้าไปในเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้คอนเทนต์ของธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าที่นิยมใช้แพลตฟอร์มประเภทภาพและวิดีโอได้มากขึ้น

การเลือกภาพและวิดีโอมาใส่ในบทความบนเว็บไซต์จะต้องใส่ใจในรายละเอียดของเนื้อหาให้ดี ไม่ว่าจะเป็นประเภทรูปแบบของภาพ แม้กระทั่งการกำหนดชื่อไฟล์ของเนื้อหาที่ต้องจริงจัง อย่างการใช้คำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) รายละเอียดพวกนี้สำคัญมาก เพราะจะถูกนับไปรวมกับการทำ SEO ทั้งหมด

การเข้าใจถึงเทรนด์ในการทำ SEO จะช่วยให้การเขียนและนำบทความ SEO ไปใช้ของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น และด้วยการวางแผนกลยุทธ์ตามเทรนด์ของ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจสามารถอยู่ในหน้าการค้นหาแรกที่ลูกค้าจะเห็นธุรกิจของคุณได้ก่อนใคร

บทความ SEO คุณภาพ สิ่งที่จะช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

บทความ SEO คุณภาพ

การที่เว็บไซต์จะประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหานั้นจำเป็นต้องทำ SEO ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการทำ SEO นั้นคือมีบทความ SEO คุณภาพอยู่ในเว็บไซต์นั้น

บทความ SEO คืออะไร ?

คือบทความที่มีคุณภาพ มีความชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาอยู่ในนั้น สอดคล้องกับ Search Engine Algorithm หรือกระบวนการค้นหา

บทความ SEO ประกอบไปด้วย

  • หัวข้อ – หัวข้อต้องมีคีย์เวิร์ด หรือขึ้นต้นด้วยคีย์เวิร์ดได้ยิ่งดี ควรมีความยาวประมาณ 40-60 ตัวอักษร เขียนให้ดึงดูดคนอ่านและกระตุ้นความสงสัย ตัวอย่างเช่น “ งานออนไลน์ แชตคุยกับลูกค้า ทำวันละ 4 ชม. ได้วันละ 1,000 จริงหรือ ”
  • คำนำ – เกริ่นนำว่าบทความนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำไมถึงเป็นประเด็น ประมาณความยาวไม่เกิน 100 คำ ตัวอย่างเช่น “ ทุกวันนี้จะเห็นโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก งานออนไลน์ทำเบา ๆ แต่ได้เงินวัน 1,000 เศรษฐกิจฝืดเคือง พอเห็นแบบนี้ก็ยั่วยวนใจไม่ใช่น้อย”
  • เนื้อเรื่อง – เขียนถึงข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่างานออนไลน์แบบนี้มีกี่ประเภท โดยเรียงลำดับ 1 2 3 เช่น 1. อาชีพขายตรงที่เราต้องซื้อสินค้าเขามาตุนไว้ก่อน 2. เทรดหุ้นออนไลน์ 3. ขายประกัน เขียนถึงรายละเอียด ช่องทางการสมัคร ข้อดีและข้อเสีย

สรุป

สรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดให้ครอบคลุมพร้อมกับให้ข้อคิดเตือนใจ เช่น “ อาชีพแบบนี้ได้แก่อาชีพ……… ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ ”

การตั้งค่า SEO ให้กับบทความ

ถ้าใครทำเว็บไซต์นั้นจะมีโปรแกรมตั้งค่า SEO เพิ่มเติมให้กับบทความดังนี้

  1. Title คือหัวข้อหรือชื่อเรื่องนั่นเอง เป็นอันเดียวกันกับบทความที่เราเขียนไป
  2. Discription อธิบายรายละเอียดเนื้อหาของบทความว่าเกี่ยวข้องกับอะไร แนะนำความยาว 120-150 ตัวอักษร
  3. Keyword Keyword ก็คือคำค้นหาที่คาดว่าคนทั่วไปจะพิมพ์ค้นหา Keyword ควรสอดคล้องกับเนื้อหาในบทความ อย่างเช่นคำว่า “ งานออนไลน์, ทำงานที่บ้าน, ทำงานในเน็ต, งานอินเทอร์เน็ตวันละ 1,000 ” ใส่ประมาณไม่เกิน 20 คำ
  4. รูปภาพประกอบ ใส่รูปภาพประกอบแล้วใส่ Alt หรือคำอธิบายรูปภาพ โดยใส่เป็น Keyword เช่นใส่คำว่า “ งานออนไลน์ ” แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้ทุกรูป Alt เป็น Keyword ควรใส่บางรูปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสแปม

ควรโพสต์บทความใหม่บ่อยแค่ไหน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากไม่ใช่เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ใหม่ควรลงบทความเรื่อย ๆ สัปดาห์ละประมาณ 3 บทความ ไม่ควรลงทุกวันเพื่อให้ Google ได้มีเวลา Index หรือเอาบทความเข้าระบบ เว็บไซต์เก่าควรโพสต์สัปดาห์ละ 1 บทความ ไม่ควรอัดบทความจำนวนมาก ๆ ให้กับเว็บไซต์

โครงสร้างของเว็บไซต์ที่จำเป็นคือบทความ ยิ่งบทความมีคุณภาพ มีความชัดเจน ตอบโจทย์ผู้อ่านก็ยิ่งดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับมากขึ้น บทความ SEO ก็คือบทความคุณภาพทั่วไปหากแต่นำมาปรับแต่งให้มีความชัดเจนเพื่อการค้นหา ความถี่ในการลงบทความใหม่ควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ

อยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องรู้จัก SEO และ SEM

อยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องรู้จัก SEO และ SEM

การทำธุรกิจในปัจจุบันนิยมใช้ช่องทางออนไลน์เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือและระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อการสื่อสารตลอดจนการหาข้อมูลของสินค้าและบริการตลอด 24 ชั่วโมง การเปิดเว็บไซต์ออนไลน์จึงเป็นที่นิยมเพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและทำให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับสินค้าของแบรนด์คู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น

การทำ SEO และ SEM จึงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งเราได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจมาไว้ที่นี่แล้ว

SEO หรือ Search Engine Optimization

1. การทำ SEO สามารถเห็นผลได้จริง เพีงแต่ต้องใช้เวลา เนื่องจาก SEO เป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบ Algorithm ของ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google วิเคราะห์เพื่อจัดอันดับเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ ให้ได้อันดับที่สูง เมื่อมีการสะสมข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จากการผลิตบทความ SEO และสร้างสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยส่งเสริมการขายที่ดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มาก ก็จะทำให้ได้อันดับในการสืบค้นที่ดียิ่งขึ้นตามมาด้วย

2. การทำเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นระบบโทรศัพท์หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เนื่องจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะพกพาโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการหาข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ แทบทุกที่ 24 ชั่วโมง การทำเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้งานง่าย โดยไม่จำกัดเครื่องมือทางเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

3. การเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์ภายนอกกับเว็บไซต์ทางธุรกิจ จะทำให้เข้าถึงผู้ที่กำลังประสบปัญหาต้องการคำแนะนำหรือมองหาสิ่งช่วยอำนวยความสะดวกอยู่ หากคุณมีความรู้และมีความถนัดในเรื่องเหล่านั้น ก็สามารถที่จะเข้าไปแนะนำตอบคำถามและแนบ Link ของเว็บไซต์คุณ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่นำไปสู่การขายสินค้าในอนาคตได้

SEM หรือ Search Engine Marketing

เป็นการประมูลพื้นที่ในการโฆษณาเว็บไซต์ ในอันดับ 1-5 ของหน้าต่างการสืบค้น จะทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่พิมพ์ Keyword ค้นหา และทำให้มียอดการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการทำ SEM จะมีค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของการประมูลและจ่ายเพิ่มตามจำนวนครั้งของผู้ชมที่คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณ เรียกว่าเป็นการจ่ายแบบ PPC หรือ Pay Per Click ที่คุณจะต้องมีการตั้งงบประมาณไว้ให้พร้อมเสมอ ดังนั้นโดยภาพรวม การทำ SEM จึงเห็นผลเร็ว แต่ก็เสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำ SEO

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO และ SEM มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน คุณสามารถที่จะนำมาทั้งสองเทคนิคมาปรับประยุกต์ใช้แบบผสมผสานกันได้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ท่านที่สนใจการทำธุรกิจนำไปเป็นแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นต่อไป

การทำ SEO และ SEM