SEO เว็บไซต์

จุดอ่อนที่แก้ได้ของเว็บไซต์ เพื่อทำให้คะแนน SEO ดีขึ้น

จุดอ่อนที่แก้ได้ของเว็บไซต์ เพื่อทำให้คะแนน SEO ดีขึ้น

บางคนทำธุรกิจทางออนไลน์มานาน แต่ทำยังไงผลกำไรที่สร้างได้ก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่ฝันไว้ซักที อยากจะพยายามทำการตลาดออนไลน์ กลับไม่สามารถแก้ไขได้ตรงจุด จึงทำให้มีช่องโหว่มากมายบนเว็บไซต์ที่ทำให้ไม่สามารถเอาชนะใจลูกค้าได้ รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องการการพัฒนา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี ดังนั้นวันนี้เราจะมาชี้จุดอ่อนยอดนิยมของเว็บไซต์ต่าง ๆ และแนวทางการแก้ไขตามหลัก SEO

  • คีย์เวิร์ดที่ไม่ตรงจุด

หลายธุรกิจเลือกใช้คีย์เวิร์ดทั่วไปที่มียอดการค้นหาสูงมาก แต่รู้ไหมว่าคีย์เวิร์ดแบบนั้นมักมีการแข่งขันที่สูงจนยากที่จะเอาชนะคู่แข่งเจ้าใหญ่ที่มีทุนหนาและดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ดังนั้นต้องมีการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงบ้าง เช่น การระบุตำแหน่งเพื่อทำ Local SEO สิ่งนี้จะกระตุ้นยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน

  • ออกแบบเว็บให้ใช้งานง่าย

บางคนออกแบบเว็บไซต์อย่างสวยงาม แต่กลับมาตกม้าตายเพราะไม่ได้ออกแบบการแสดงผลบนมือถือเอาไว้ จึงทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้ไม่น่าประทับใจและรู้สึกไม่อยากใช้งาน หรือบางเว็บไซต์ใส่รูปภาพที่สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่กลับอัปโหลดภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไป จนใช้เวลาโหลดนานจนลูกค้าหมดความอดทน ดังนั้นต้องพยายามออกแบบเว็บไซต์โดยคิดในมุมของลูกค้าเป็นหลักอยู่เสมอ

  • สร้างเนื้อหาที่มีความเฉพาะตัว

การเอาบทความหรือเนื้อหาสาระจากเว็บไซต์อื่นมารวบรวมและดัดแปลงแก้ไขเพื่อนำมาเป็นคอนเทนต์ SEO มักจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ปังสักเท่าไหร่ เพราะงานเขียนแบบนั้นมักจะธรรมดาทั่วไป จนไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านได้ ดังนั้นต้องพยายามสร้างเนื้อหาใหม่ที่มีความเฉพาะเจาะจงของตนเองขึ้นมา จึงจะทำให้แบรนด์โดดเด่นกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นในตลาด

  • ใส่องค์ประกอบในรูปภาพ

หลายคนอัปโหลดรูปภาพลงไปประกอบบทความบนเว็บไซต์แต่ไม่ใส่องค์ประกอบอื่น ๆ ให้ถูกต้อง ถึงภาพนี้จะโดดเด่น สวยงามหรือมีความน่าสนใจแค่ไหน สุดท้ายภาพนี้จะหมดประโยชน์ทาง SEO ไปโดยทันที ดังนั้นแนะนำว่าทุกครั้งที่เลือกใช้ภาพมาประกอบบนเพจ ต้องทำการใส่ Title, Alt Text, Caption และ Description ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดอยู่เสมอ

  • ปรับปรุงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

บางแบรนด์สร้างเว็บไว้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับไม่เคยเข้ามาทำการอัปเดทเว็บไซต์ให้ดูทันสมัย หลายคนเข้ามาเห็นอาจจะนึกว่าเลิกทำธุรกิจไปแล้ว จะหวังอะไรกับการเพิ่มยอดขาย ดังนั้นต้องหมั่นพัฒนาเว็บไซต์ตามความต้องการของตลาดอย่างสม่ำเสมอ รู้จักวัดผลและนำจุดด้อยมาพัฒนาให้ดีขึ้น รวมทั้งให้หมั่นใส่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และโปรโมทอย่างใส่ใจเป็นประจำ

หลังจากอ่านจุดอ่อนยอดฮิตของเว็บไซต์ในวันนี้ ทุกคนคงจะพอมองเห็นแนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ธุรกิจของตนเองได้มากขึ้นแล้ว ลองนำกลับไปประยุกต์ใช้กับงานของตัวเองดู เพราะถ้าสามารถกำจัดจุดอ่อนเหล่านี้ได้ ผลลัพธ์ของการทำ SEO จะพุ่งทะยานไปไกลอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

เพราะเราต่างก็ทราบกันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การใช้ SEO นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างเห็นผล เพราะ SEO ช่วยปรับปรุงการจัดอันดับแรงค์กิ้งเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ขอแพลตฟอร์มเสิร์ชเอนจิ้น แต่การปรับปรุงปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ด้วยการใช้ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งการทำ SEO ยังถือว่าเป็นงานใหญ่ แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เพราะในที่สุดคุณก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของคุณ ข่าวดีก็คือสามารถทำได้ด้วยตนเองเช่นกันด้วยการใช้ SEO tools

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรีมีอะไรบ้าง
บทความนี้เราจะช่วยให้คุณได้มีทางลัดตัวช่วยในการทำ SEO ด้วยการใช้ SEO tools เพื่อช่วยในการวิจัยและวิเคราะห์การปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ผ่านการตลาดออนไลน์ และด้วยการใช้ SEO tool คุณจะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์บนเมตาแท็กซ์ของแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมี SEO tools ให้คุณสามารถเลือกใช้ฟรี ๆ ได้อีกด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

1.Google PageSpeed Insights
เครื่องมือ SEO tools ที่จะช่วยตรวจสอบในเชิงลึกเกี่ยวกับความเร็ว ความสามารถในการเข้าถึง และการใช้งานเว็บไซต์ของคุณจาก Google โดยจะทดสอบเวลาในการโหลดและประสิทธิภาพของการเข้าถึง URL ของเว็บไซต์ของคุณ

2.Ahrefs Webmaster Tools
เครื่องมือ SEO tools นี้จะช่วยให้คุณเห็นการจัดอันดับคำค้นหลักทั่วไปของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณและจะให้คำแนะนำในการปรับปรุงการเชื่อมโยงคำค้นหลักกับเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้คุณตรวจสอบและปรับปรุงการเพิ่มอันดับของคุณในเสิร์ชเอนจิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นเครื่องมือการตรวจสอบทางเทคนิคที่มีประโยชน์มาก

3.Google Analytics
เครื่องมือ SEO tools ที่แสดงสถิติเว็บไซต์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือในเชิงวิเคราะห์ที่เปิดให้ใช้ฟรีที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ได้ทุกบิท พร้อมทั้งรายงานผลการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณว่าได้รับการเยี่ยมชมจากการค้นหาโดยทั่วไปหรือไม่อย่างไร ทำให้คุณเห็นเส้นทางการเชื่อมโยงของคุณจากผู้เข้าชมได้อย่างชัดเจนที่สุด

SEO tools เหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำ SEO ได้อย่างมากมาย ช่วยลดเวลาการวิจัยหาคำค้นหลักซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อและต้องใช้เวลานาน ด้วยการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจาก SEO tools คุณจะสามารถได้รับประโยชน์จาก Big Data ซึ่งคุณจะวิเคราะห์ได้ว่า เว็บไซต์ของคุณควรจะใช้กลยุทธ์อะไร และควรจะปรับแต่งอย่างไร อีกทั้งยังช่วยให้คุณติดตามคู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสให้เร็วที่สุดและดีที่สุดได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของธุรกิจหลายเว็บไซต์ การใช้ SEO tools จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ

บทความ SEO คุณภาพ สิ่งที่จะช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

บทความ SEO คุณภาพ

การที่เว็บไซต์จะประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหานั้นจำเป็นต้องทำ SEO ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการทำ SEO นั้นคือมีบทความ SEO คุณภาพอยู่ในเว็บไซต์นั้น

บทความ SEO คืออะไร ?

คือบทความที่มีคุณภาพ มีความชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาอยู่ในนั้น สอดคล้องกับ Search Engine Algorithm หรือกระบวนการค้นหา

บทความ SEO ประกอบไปด้วย

  • หัวข้อ – หัวข้อต้องมีคีย์เวิร์ด หรือขึ้นต้นด้วยคีย์เวิร์ดได้ยิ่งดี ควรมีความยาวประมาณ 40-60 ตัวอักษร เขียนให้ดึงดูดคนอ่านและกระตุ้นความสงสัย ตัวอย่างเช่น “ งานออนไลน์ แชตคุยกับลูกค้า ทำวันละ 4 ชม. ได้วันละ 1,000 จริงหรือ ”
  • คำนำ – เกริ่นนำว่าบทความนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำไมถึงเป็นประเด็น ประมาณความยาวไม่เกิน 100 คำ ตัวอย่างเช่น “ ทุกวันนี้จะเห็นโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก งานออนไลน์ทำเบา ๆ แต่ได้เงินวัน 1,000 เศรษฐกิจฝืดเคือง พอเห็นแบบนี้ก็ยั่วยวนใจไม่ใช่น้อย”
  • เนื้อเรื่อง – เขียนถึงข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่างานออนไลน์แบบนี้มีกี่ประเภท โดยเรียงลำดับ 1 2 3 เช่น 1. อาชีพขายตรงที่เราต้องซื้อสินค้าเขามาตุนไว้ก่อน 2. เทรดหุ้นออนไลน์ 3. ขายประกัน เขียนถึงรายละเอียด ช่องทางการสมัคร ข้อดีและข้อเสีย

สรุป

สรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดให้ครอบคลุมพร้อมกับให้ข้อคิดเตือนใจ เช่น “ อาชีพแบบนี้ได้แก่อาชีพ……… ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ ”

การตั้งค่า SEO ให้กับบทความ

ถ้าใครทำเว็บไซต์นั้นจะมีโปรแกรมตั้งค่า SEO เพิ่มเติมให้กับบทความดังนี้

  1. Title คือหัวข้อหรือชื่อเรื่องนั่นเอง เป็นอันเดียวกันกับบทความที่เราเขียนไป
  2. Discription อธิบายรายละเอียดเนื้อหาของบทความว่าเกี่ยวข้องกับอะไร แนะนำความยาว 120-150 ตัวอักษร
  3. Keyword Keyword ก็คือคำค้นหาที่คาดว่าคนทั่วไปจะพิมพ์ค้นหา Keyword ควรสอดคล้องกับเนื้อหาในบทความ อย่างเช่นคำว่า “ งานออนไลน์, ทำงานที่บ้าน, ทำงานในเน็ต, งานอินเทอร์เน็ตวันละ 1,000 ” ใส่ประมาณไม่เกิน 20 คำ
  4. รูปภาพประกอบ ใส่รูปภาพประกอบแล้วใส่ Alt หรือคำอธิบายรูปภาพ โดยใส่เป็น Keyword เช่นใส่คำว่า “ งานออนไลน์ ” แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้ทุกรูป Alt เป็น Keyword ควรใส่บางรูปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสแปม

ควรโพสต์บทความใหม่บ่อยแค่ไหน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากไม่ใช่เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ใหม่ควรลงบทความเรื่อย ๆ สัปดาห์ละประมาณ 3 บทความ ไม่ควรลงทุกวันเพื่อให้ Google ได้มีเวลา Index หรือเอาบทความเข้าระบบ เว็บไซต์เก่าควรโพสต์สัปดาห์ละ 1 บทความ ไม่ควรอัดบทความจำนวนมาก ๆ ให้กับเว็บไซต์

โครงสร้างของเว็บไซต์ที่จำเป็นคือบทความ ยิ่งบทความมีคุณภาพ มีความชัดเจน ตอบโจทย์ผู้อ่านก็ยิ่งดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับมากขึ้น บทความ SEO ก็คือบทความคุณภาพทั่วไปหากแต่นำมาปรับแต่งให้มีความชัดเจนเพื่อการค้นหา ความถี่ในการลงบทความใหม่ควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ