พูดคุย SEO

เปรียบเทียบข้อดี – ข้อเสียของการทำ SEO ด้วยตัวเอง

เปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสียของการทำ SEO ด้วยตัวเอง

SEO ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยทำการตลาดบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัดและมีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็คงกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรทำเอง หรือจ้างบริษัทเฉพาะทางดี? วันนี้เราจะมาบอกถึง ข้อดี-ข้อเสีย ของการทำ SEO ด้วยตัวเอง เพื่อประกอบการตัดสินใจ

ข้อดี

1. ลดค่าใช้จ่าย
หากเราเลือกที่จะทำ SEO ด้วยตัวเองจะช่วยให้เรา “ประหยัดต้นทุน” ที่ต้องจ้างบริษัทเฉพาะทางมาทำในส่วนนี้ไปได้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้เรายังสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจทางด้านอื่นได้อีกด้วย

2. ได้เพิ่มทักษะให้ตัวเอง
การทำ SEO มีรายละเอียดปลีกย่อยที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติมมากมาย ดังนั้นทักษะที่คุณจะได้เรียนรู้อย่างแน่นอนเลย คือเรื่องของการเขียนบทความ การจับประเด็น และการวิเคราะห์รายละเอียดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และความรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ที่จะมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

3. เราเข้าใจกลุ่มลูกค้าเรามากที่สุด
การทำ SEO เราจำเป็นจะต้องเข้าใจในตัวสินค้าและเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี เพื่อใช้ประกอบการเลือกหัวข้อ ตลอดจน Keyword ที่จะนำมาใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของแบรนด์หรือตัวเราเอง ย่อมรู้จักสินค้าและบริการดีที่สุดแล้ว ดังนั้นการทำ SEO ด้วยตัวเองจึงเป็นการตัดสินใจที่ดี

4. รับงานเพิ่มรายได้เสริม
เมื่อตัวเรามีความรู้ด้าน SEO แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำความรู้นี้ไปให้บริการแก่เว็บไซต์หรือเพจต่าง ๆ ที่เจ้าของไม่มีเวลาศึกษาดูแลเอง เท่ากับเราดูแลกิจการเว็บไซต์ออนไลน์ของเราเองได้ควบคู่กับรับงานเสริมรายได้บนฐานความรู้เดียวกัน

ข้อเสีย

1. ต้องใช้เวลาในการศึกษา
ดังที่กล่าวไปในข้อก่อนหน้า SEO มีรายละเอียดที่ต้องศึกษาค่อนข้างมาก ในส่วนนี้จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้ การจ้างบริษัทที่รับทำทางด้านโดยเฉพาะจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

2. เสี่ยงต่อการผิดพลาดครั้งใหญ่
ในปัจจุบัน แม้ว่าการแบ่งปันแนวทางและให้ความรู้เรื่องการทำ SEO จะมีให้เห็นอยู่มาก แต่หากเราทำส่วนใดส่วนหนึ่งผิดพลาดไป ก็อาจนำมาซึ่งผลเสียที่อาจจะยากเกินกว่าจะกู้คืนกลับมาได้ เราจึงต้องวางแผนการทำงานให้ดี

3. ทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เพียงพอ
แม้จริงอยู่ที่เราสามารถพัฒนาทักษะได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของเว็บไซต์ ทั้ง UX,UI และความแตกต่างระหว่างเนื้อหาโฆษณากับเนื้อหาบทความทั่วไปที่ชัดเจน และหากเราไม่มีทักษะทางด้านการเขียน SEO เลยก็อาจเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดวาง SEO ให้อยู่ในจุดที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การทำ SEO มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละบุคคลว่ายอมรับด้านใดได้มากกว่ากัน แต่ถึงอย่างนั้น เพื่อประกอบการพิจารณาและการตัดสินใจในเรื่องนี้ให้เหมาะสม เราก็ควรศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของ SEO ไว้สักหน่อย รับรองเลยว่าเราจะพบทางที่เหมาะสมกับเราอย่างแน่นอน

สรุปกลยุทธ์ SEO สำหรับเพิ่มรายได้บน Website

สรุปกลยุทธ์ SEO สำหรับเพิ่มรายได้บน Website

เว็บไซต์ คือ เครื่องมือสำคัญในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการสร้างรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ หรือสร้างเป็นเว็บไซต์สำหรับเผยแพร่ความรู้หรือสิ่งที่น่าสนใจเพื่อให้เช่าพื้นที่ในการวางโฆษณา ซึ่ง search engine optimization หรือ SEO คือเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มปริมาณการเข้าถึงและปรับเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลในหน้าแรกบน search engine อันดับหนึ่งของโลกอย่าง Google.com โดยกลยุทธ์สำหรับเพิ่มรายได้บน Website มีดังนี้

วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการหาข้อมูล Keyword หรือ คำค้นหา เป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่สามารถค้นหาข้อมูลเหล่านั้นได้จาก search engine ซึ่งการใช้เวลาในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหามากที่สุดและมีจำนวนเว็บไซต์คู่แข่งที่นำไปใช้น้อย ย่อมทำให้การติดอันดับบน search engine ได้ง่ายกว่า เมื่อได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว ให้นำคีย์เวิร์ดที่ได้มาจัดวางในส่วนต่าง ๆ บนเว็บไซต์ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ การนำคีย์เวิร์ดมาแทรกในบทความที่มีประโยชน์อย่างต่อเนื่องและมีปริมาณที่เหมาะสม

จัดแต่งหน้าเว็บไซต์ให้น่าสนใจ การจัดแต่งหน้าเว็บไซต์ให้มีความสวยงาม ไม่เพียงแต่ช่วยดึงดูดสายตาและสร้างความน่าเชื่อถือต่อเว็บไซต์ได้ดีกว่า แต่ยังทำให้กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาบนเว็บไซต์ได้นานกว่าด้วย โดยการจัดแต่งหน้าเว็บไซต์ให้น่าสนใจควรคำนึงถึงเฉดสี การจัดวางแพลตฟอร์มเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ รวมถึงมีความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์

กระตุ้น Action จากกลุ่มเป้าหมาย การสร้างคอนเทนต์ให้มีความน่าสนใจ กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายและมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่ม action จากกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าการ โดย Action ที่จะได้รับจากกลุ่มเป้าหมาย คือ การแชร์ข้อมูลบน Social media หรือมีการคอมเมนต์ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ Bot ใน search engine มองว่าเป็นเว็บไซต์คุณภาพทั้งสิ้น ซึ่ง Action ที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากแหล่งอื่น ๆ เข้าสู่เว็บไซต์และก่อให้เกิดเป็นรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

การสร้าง Content ที่มีคุณภาพ คอนเทนต์คุณภาพที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเว็บไซต์ไม่ได้หมายถึงความทันสมัยของข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีการจัดวางรูปแบบให้ถูกต้องตามกฏที่ Google ได้กำหนดไว้ เช่น การสร้างคอนเทนต์ที่มีความยาวมากกว่า 300 คำขึ้นไป, มีคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาในปริมาณที่เหมาะสม, มีการเว้นวรรคย่อหน้าให้เป็นระเบียบ น่าอ่านและมีภาพประกอบที่ตรงกับเนื้อหา

เว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือที่สามารถเพิ่มรายได้จากกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี ทำให้การใช้เวลาในการศึกษาเรื่อง SEO จึงเป็นสิ่งที่สามารถนำมาพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และตอบรับกับข้อกำหนดของ search engine ซึ่งช่วยให้เกิดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

เขียนบทความอย่างไร มีผลต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับสูงสำเร็จ

เขียนบทความอย่างไร มีผลต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับสูงสำเร็จ

บทความที่ดีเป็นอย่างไร เขียนคอนเทนท์แบบไหนให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google แบบเห็นผลจริง เหตุผลที่งานเขียนมีความสำคัญต่อการทำ SEO เพราะผู้ค้นไม่ได้ต้องการเห็นสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการอ่านบทความเกี่ยวกับสินค้าและข้อมูลอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ด้วย สรุปว่าถ้ามีบทความดี ๆ ถูกใจผู้อ่านจะทำให้เว็บไซต์เป็นที่ยอมรับและสร้างแรงดึงดูดให้กลับมาใช้เว็บไซต์นั้นอีก

นักเขียนที่มีฝีมือสร้างสรรค์บทความคุณภาพช่วยสนับสนุนการทำ SEO ให้เว็บไซต์ได้รับความไว้วางใจและค้นพบง่ายในอินเทอร์เน็ต หลักการสำคัญของการเขียนบทความตามหลัก SEO อยู่ที่การเลือกคีย์เวิร์ดแทรกในบทความอย่างกลมกลืน เป็นคำที่ค้นหาบนเสิร์จเอนจินแล้วพบง่ายและได้รับความนิยมสูง

มีคนใช้คำนั้นค้นหาข้อมูลใน Google บ่อยครั้งมาก คีย์เวิร์ดเปรียบได้กับประตู ถ้าเลือกคำหรือวลีที่เหมาะสมจะนำทางผู้ชมเข้าเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้เว็บติดหน้าแรก ๆ ของ Google ยิ่งอยู่อันดับต้นได้มากเท่าไรยิ่งทำให้คนคลิกเข้าชมก่อนและมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

นอกจากคำค้นหาที่เหมาะสมแล้ว การแทรกคำในเนื้อหาต้องปรับให้ลงตัว อ่านแล้วลื่นไหลและสมเหตุสมผล ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือทำให้จำนวนคนเข้าเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญทำให้คนอ่านบทความแล้วเห็นคุณค่า ก่อนเขียนบทความต้องตั้งเป้าหมายว่าในเนื้อหาจะมีอะไรบ้าง ไม่เพียงการเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับคำค้นหายอดนิยมเท่านั้นแต่จะต้องเลือกใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่ายและโทนอารมณ์การเขียนในบทความให้ตรงกับความนิยมของกลุ่มผู้อ่านเพื่อกระตุ้นความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้อ่านตัดสินใจซื้อในที่สุด

ทุกวันนี้คนเราท่องอินเทอร์เน็ตค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการโดยใช้คีย์เวิร์ดกันทั้งนั้น แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดเป็นการ Search ด้วยคีย์เวิร์ด ไม่ได้พิมพ์ชื่อ URL ของเว็บไซต์โดยตรง การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นชื่อเว็บไซต์จึงมีความสำคัญไม่น้อยและใช้คำเดียวกันนั้นในการเชื่อมโยงกับเนื้อหาของบทความ แทรกคีย์เวิร์ดลงไปอย่างเป็นธรรมชาติโดยใส่คีย์เวิร์ดกระจายไปในเนื้อหา โดยมีปริมาณคีย์เวิร์ดราว 1-2 คำ ต่อ 100 คำ เท่ากับบทความที่มีความยาว 500 คำควรใส่คีย์เวิร์ดระหว่าง 3-5 คำนั่นเอง รวมถึงใส่คีย์เวิร์ดในชื่อของบทความและ Meta Description โดยใช้คำภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดที่ใช้บ่อยและสอดคล้องกับเนื้อหาของคอนเทนต์

ไอเดียคีย์เวิร์ดสามารถค้นหามาจากเว็บไซต์ของคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันหรือเครื่องมือหาคีย์เวิร์ดฟรีในอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่มากมาย เป็นเครื่องมือใช้คัดเลือกคีย์เวิร์ดที่วิเคราะห์ว่ามีคำไหนใช้บ่อยและติดอันดับคีย์เวิร์ดค้นหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด เลือกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบทความทำให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพคือ น่าอ่าน สำนวนกระชับ เข้าใจง่าย ข้อสำคัญคือมีประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างแท้จริง เพราะถึงจะเขียนออกมาดีแต่ไม่ตรงกับความต้องการก็ไม่เกิดประโยชน์ คนไม่เข้ามาอ่านและการทำ SEO ให้ติดอันดับต้น ๆ ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ SEO ของมือใหม่

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ SEO ของมือใหม่

การทำ SEO จะเป็นตัวช่วยเพิ่มคุณภาพของเว็บไซต์หรืองานต่าง ๆ ของคุณบนโลกอินเทอร์เน็ตให้มีความเหมาะสมต่อความต้องการของผู้อื่น เป็นการจับคู่ที่จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งการค้นหาบน Search Engine ชื่อดังอย่าง Google ในแต่ละวัน มีมากกว่าล้านครั้งต่อชั่วโมง และตกอยู่ราว 80,000 กว่าครั้งต่อวินาที ดังนั้นถ้าธุรกิจหรือคอนเทนต์ของคุณไปปรากฏบน Google แล้วอยู่ในอันดับแรก ๆ ของหน้า 1 ได้ ย่อมทำให้เกิดโอกาสของการมองเห็นที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

สำหรับมือใหม่ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นเป็นอันดับแรกของ Google คุณควรรู้ว่า SEO คืออะไร และเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในการทำ seo ให้มากขึ้น ชื่อของ seo ย่อมาจาก Search Engine Optimization ที่จะช่วยทำให้ Google หันมาสนใจ Content และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีเทคนิคหลายรูปแบบเพื่อการปรับปรุงให้เว็บไซต์หรือ Content ของคุณเป็นที่สนใจ ซึ่งทาง Google จะมี Keyword Planner ที่จะทำให้การวาง Keyword ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น การค้นหาของกลุ่มเป้าหมายมาสู่เว็บไซต์ของคุณจะง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการทำ Backlink เพื่อเชื่อมโยงกลับมายังภายในเนื้อหาต่าง ๆ ของ Content หรือภายในเว็บไซต์ รวมไปถึงโซเชียลที่จะทำให้คุณสามารถดึงความสนใจของทั้ง Google และผู้ค้นหาได้มากขึ้น ส่วนการใช้งาน Keyword นั้นจะมีทั้งการใช้แบบเดี่ยว, แบบคู่, การวางหัวข้อแบบ H1- H2, การทำตัวหนา, การทำตัวเอียง และการทำสีสันต่าง ๆ ที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกสับสนได้ ดังนั้นจึงควรอ่านรายละเอียดของการวางคีย์เวิร์ด​ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ดีก่อน เมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้การสร้าง Content Marketing เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น นอกจากต้องมีการวางโครงสร้างของเว็บไซต์ที่เป็นหนึ่งในรูปแบบสำคัญที่คุณควรศึกษาให้ดีหรือจ้างผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมาทำการดูแล เพื่อทำให้เว็บของคุณมีความเคลื่อนไหวอย่างถูกต้องและถูกใจ Google โดยต้องเริ่มต้นตั้งแต่การทำ HTTPS เพื่อสร้างความปลอดภัยในการรับ-ส่งข้อมูลบนเว็บไซต์, การใช้งาน Responsive Design เพื่อทำให้สามารถเปิดดูได้อย่างเหมาะสมกับทุกอุปกรณ์ที่คนยุคนี้ชอบใช้งาน, การเพิ่มคะแนนให้กับหน้าเว็บไซต์ด้วยการใช้ Backlink, การใช้เทคนิคของการลงคลิปวิดีโอ, การทำคอนเทนต์ในหมวดหมู่หลัก, การใช้งาน Hosting ที่มีชื่อเสียง และการใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คุณจะต้องศึกษาไว้ทั้งหมด เพื่อทำให้เว็บไซต์หรือโซเชียลเพจของคุณประสบความสำเร็จบนหน้าแรกของ Google​ นำมาซึ่งผลตอบแทนทางธุรกิจคือ​ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น

เมื่อคุณต้องการทำ SEO ก็สามารถเริ่มต้นศึกษาด้วยตัวคุณเองก่อน จากนั้นถ้าคุณต้องการความมั่นใจมากขึ้น สามารถเลือกผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้ตรงด้านนี้ เพื่อมาเป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่ดีที่สุดและถูกใจ Google เพื่อให้สามารถไต่อันดับเป็นเว็บอันดับแรก​ ๆ​ ที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นเว็บไซต์ของคุณก่อนใคร พร้อมให้ผลของการติดอันดับที่ยาวนานอย่างมีคุณภาพอีกด้วย

ทำความรู้จักกับบทความ SEO

ทำความรู้จักกับบทความ SEO

SEO เป็นคำย่อของ “Search Engine Optimization” ซึ่งหมายถึง การปรับปรุงเนื้อหาบทความของเราให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่าน Search Engine ต่าง ๆ เช่น Google, Yahoo! และ Bing เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้เนื้อหาในบทความติดอันดับต้น ๆ จากค้นหาผ่าน Search Engine ดังกล่าว

Google เป็นผู้ให้บริการ Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากทั่วโลก และเป็นอันดับหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อินเดีย และญี่ปุ่น เป็นต้น ดังนั้นในการทำ SEO จึงเน้นที่ Google เป็นหลัก โดยเน้นไปที่การทำบทความให้มีคุณภาพให้ตรงกับข้อมูล Keyword ที่จะส่งผลต่อการค้นหาบทความเราได้ง่ายขึ้น

กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้บทความติด SEO ก็คือ การใส่ Keyword เป้าหมาย (หรือ Keyword หลัก) และ Keyword ที่เกี่ยวข้อง (Keyword รอง) ที่เหมาะสมลงไปในบทความ โดยจะต้องเน้น Keyword ที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่แสดงในหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถหาได้จากเครื่องมือต่าง ๆ เช่น Google Keyword Planner, KWFinder และ Ahrefs เป็นต้น

เมื่อเลือก Keyword ที่เหมาะสมแล้ว การจัดให้มีการกระจายในบทความอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ติดหน้าแรกได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีการใส่ Keyword เป้าหมายลงในชื่อบทความด้วย เพื่อให้ Search Engine Algorithm จะได้สามารถค้นหาเจอได้อย่างรวดเร็ว และกระจาย Keyword อื่น ๆ ให้มีความหนาแน่นอยู่ในบทความอย่างเหมาะสม

ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Keyword ซ้ำ ๆ กันเป็นจำนวนมากในบทความ เนื่องจาก Search Engine จะมองว่าเป็น Keyword Spam หรือ Keyword Stuffing ที่แสดงถึงการพยายามใส่ (ยัด) มากเกินไปลงในบทความ ทำให้เนื้อหาดูไม่เป็นธรรมชาติ

การทำ SEO ให้ติดอันดับต้น ๆ ของ Google ควรเน้นเนื้อหาที่มีคุณภาพ เนื้อหาแบบเจาะลึกหรือเนื้อหาที่มีประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ค้นหาด้วย Keyword ที่เราต้องการ ซึ่งการจัดโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน ใช้ง่าย จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราติดอันดับได้มากขึ้นด้วย

นอกจากนี้เนื้อหาในบทความไม่ควรคัดลอกมาจากที่อื่น ควรเรียบเรียงเนื้อหาด้วยตัวเองหรือเรียบเรียงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ พร้อมทั้งระบุลิงก์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบทความของเราลงไปด้วย เพื่อให้ Google รู้ว่าบทความของเราอยู่ในหมวดหมู่ไหน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเราเรียกว่า การทำ External Link โดยในการเลือกเราจะต้องเลือกลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

โดยสรุป บทความ SEO มีความพิเศษกว่าบทความทั่วไป คือ จัดทำขึ้นเพื่อให้ติดอันดับแรก ๆ ของ Google โดยในการเขียนบทความจะต้องมีการระบุ Keyword ทั้ง Keyword เป้าหมายและ Keyword ที่เกี่ยวข้อง ให้มีปริมาณและการกระจายตัวที่เหมาะสม เนื้อหาในบทความมีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน และเพิ่มลิงก์อ้างอิงลงไปในบทความด้วยเพื่อให้ Search Engine Algorithm สามารถเข้าใจประเภทของเนื้อหาในบทความได้อย่างรวดเร็ว

นักการตลาดออนไลน์ควรรู้ไว้ เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ติดหน้าแรก SEO

นักการตลาดออนไลน์ควรรู้ไว้ เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ติดหน้าแรก SEO

เพราะ SEO คือการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้ และบรรดานักการตลาดออนไลน์ต่างทราบดีว่าคอนเทนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา เพราะการทำคอนเทนต์ที่สอดคล้องตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine จะทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์ง่ายยิ่งขึ้น

เมื่อคอนเทนต์สำคัญขนาดนี้ เราจึงมีเทคนิคเขียนคอนเทนต์เพื่อให้ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหา เริ่มจาก

– วิเคราะห์คีย์เวิร์ด
เนื่องจากคีย์เวิร์ดมีส่วนทำให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาเว็บไซต์เจอง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์จึงต้องให้ความสำคัญขั้นตอนค้นหาคีย์เวิร์ด แนะนำให้ใช้เครื่องมือ เช่น Google Keyword Planner, KWFinder, Keysearch และอีกหลายเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดยอดนิยมที่กลุ่มเป้าหมายมักใช้ค้นหาบ่อย ๆ เพื่อให้นักการตลาดตัดสินใจว่าควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดไหนบ้างในการเขียนคอนเทนต์ อีกทั้งบางเครื่องมือยังมีบอกข้อมูลเป็นประโยชน์อื่น ๆ เพื่อใช้วางแผนทำคอนเทนต์อีกด้วย

– ตำแหน่งวางคีย์เวิร์ด
หลังจากวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้ว การเขียนคอนเทนต์ไม่ใช่เพียงการใส่คีย์เวิร์ดเหล่านั้นลงในคอนเทนต์เท่านั้น เพราะตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดก็มีส่วนสำคัญในการทำให้ Search Engine ทราบว่าคอนเทนต์ที่เขียนตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ โดยตำแหน่งที่ควรใส่คีย์เวิร์ด ได้แก่ ชื่อบทความ คำบรรยายบทความ ย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย รวมถึงชื่อรูปภาพประกอบ และนอกจากตำแหน่งวางคีย์เวิร์ดแล้ว อย่าลืมให้ความสำคัญกับการใส่คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ โดยควรเลือกใส่คีย์เวิร์ดไม่เกิน 2.5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคำในคอนเทนต์

– คอนเทนต์มีคุณภาพและสดใหม่
ระยะเวลาการใช้งานเว็บไซต์คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าสนใจและโดนใจกลุ่มเป้าหมาย เพราะฉะนั้นควรให้ความสำคัญกับการผลิตคอนเทนต์มีคุณภาพ เนื้อหาตรงความต้องการ ที่สำคัญต้องเป็นคอนเทนต์สดใหม่ ไม่ลอกเลียนแบบจากเว็บไซต์อื่น นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับความยาวคอนเทนต์ ซึ่งความยาวคอนเทนต์ที่เหมาะสมที่สุดคือประมาณ 500-700 คำ

– อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ
การทำคอนเทนต์เพื่อ SEO นั้น ไม่ใช่เพียงการอัปโหลดคอนเทนต์ลงเว็บไซต์แล้วจบเท่านั้น เพราะยังต้องอาศัยความสม่ำเสมอ การอัปเดตคอนเทนต์เรื่อย ๆ จะทำให้กลุ่มเป้าหมายคอยติดตามคอนเทนต์ใหม่ ๆ และการมีคนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อย ๆ แน่นอนว่าส่งผลต่อการจัดอันดับ นอกจากนี้ยังทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์มีความเคลื่อนไหวและได้รับการดูแลอยู่เสมอนั่นเอง

ไม่เพียงแต่การผลิตคอนเทนต์ให้ได้คุณภาพเท่านั้น เพราะสำหรับการผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกนั้นจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ตำแหน่งคีย์เวิร์ด คอนเทนต์มีคุณภาพ และการอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีเหล่านี้มีส่วนอย่างยิ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเรียกคะแนนจาก Search Engine ได้เป็นอย่างดี

รู้ไว้ก่อนตัดสินใจ! เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไร มั่นใจไม่ถูกหลอก

รู้ไว้ก่อนตัดสินใจ! เลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างไร มั่นใจไม่ถูกหลอก

เมื่อเทรนด์การตลาดออนไลน์เป็นวิธีทำการตลาดที่ได้รับความนิยมสุด ๆ ในยุคนี้ จึงมีหลายบริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ โดยที่ท่านเจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเอง รวมถึงการทำ SEO หรือการออกแบบเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Search Engine ซึ่งเป็นวิธีที่หลายธุรกิจให้ความสนใจ แต่ด้วยความที่มีบริษัทรับทำจำนวนมาก หลายคนจึงอาจมีคำถามว่าแล้วควรเลือกอย่างไรถึงมั่นใจได้ว่าไม่ถูกหลอก

เทคนิคเลือกบริษัทรับทำ SEO อย่างมั่นใจว่าไม่ถูกหลอก

1. โปรไฟล์และตัวอย่างผลงาน
แน่นอนว่าก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทใด ต้องค้นหาข้อมูลและพูดคุยรายละเอียดเบื้องต้น เพราะฉะนั้นอย่าลืมหาข้อมูลบริษัทนั้น ๆ ว่ามีชื่อเสียงหรือชื่อเสียอย่างไร และเมื่อนัดพูดคุยรายละเอียด แนะนำให้ขอดูตัวอย่างผลงานและโปรไฟล์บริษัทอีกครั้ง อย่างน้อยการเลือกบริษัทน่าเชื่อถือก็ทำให้ท่านเจ้าของธุรกิจวางใจได้ระดับหนึ่่ง

2. ทำงานอย่างเป็นระบบ
หลังจากนัดพูดคุยรายละเอียด ควรตกลงขั้นตอนและวิธีการทำงานเพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพ ที่สำคัญการตกลงวิธีทำงานร่วมกันยังทำให้เจ้าของธุรกิจสังเกตได้ว่าบริษัทที่กำลังว่าจ้างนั้นมีระบบการทำงานแบบมืออาชีพหรือไม่นั่นเอง

3. อย่าเลือกเพราะค่าบริการราคาถูก
เชื่อว่าค่าบริการที่ค่อนข้างถูกน่าจะเป็นตัวดึงดูดให้ท่านเจ้าของธุรกิจสนใจเลือกใช้บริษัทนั้น ๆ แต่อย่าให้เรื่องราคากลายเป็นกับดัก เพราะบางครั้งการคิดค่าบริการราคาถูกเกินไปอาจมาพร้อมความเสี่ยง เช่น อาจสร้าง Backlink กลับมายังเว็บไซต์ แต่กลับเป็นสแปม ซึ่งหาก Search Engine ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นสแปมจริง ๆ เว็บไซต์ของคุณจะถูกบล็อกข้อมูลและไม่มีโอกาสติดหน้าแรกได้อีกเลย เพราะฉะนั้นแนะนำให้เลือกราคาที่รับไหว ราคาไม่ถูกจนน่ากลัวหรือแพงจนเกินงบประมาณ

4. การันตีผลลัพธ์ได้หรือไม่
แน่นอนว่าการว่าจ้างบริษัททำ SEO มาเป็นผู้ช่วยจัดทำเว็บไซต์ ท่านเจ้าของธุรกิจต้องคาดหวังผลลัพธ์มากมาย เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจว่าจ้างควรพูดคุยเรื่องนี้ให้กระจ่างเสียก่อน เช่น การันตีผลลัพธ์การขึ้นหน้าแรกของ Search Engine ภายในระยะเวลากี่เดือน เป็นต้น เพื่อความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย

5. สัญญาว่าจ้างนานเท่าไหร่
แต่ละบริษัทมักมาพร้อมเงื่อนไขสัญญาทำงานแตกต่างกัน บางบริษัทให้ผูกสัญญาราย 6 เดือน รายปี 12 เดือน ในขณะเดียวกันบางบริษัทยินยอมให้ทำสัญญาเพียง 3 เดือน และแม้ว่าการทำ SEO ใช้เวลาหลายเดือน แต่ถึงอย่างนั้นแนะนำให้ผูกสัญญา 3-6 เดือนก่อน เพื่อพิจารณาหลายปัจจัยรวมกัน เช่น ระบบการทำงาน การทำงานร่วมกับทีม และผลลัพธ์ เป็นต้น

เจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ของท่านให้อยู่หน้าแรกของ Search Engine แนะนำให้นำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้และหมั่นติดตามผลเสมอ เพราะนอกจากจะไม่ถูกหลอกแล้ว เมื่อได้ทีมงานมืออาชีพเข้ามาช่วยทำการตลาด แน่นอนว่าธุรกิจของคุณก็มีโอกาสเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

แจกเทคนิคการทำ SEO 5 ข้อที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอก่อนใคร

แจกเทคนิคการทำ SEO 5 ข้อที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอก่อนใคร

ในยุคที่ทั่วทุกวงการมีแต่การแข่งขันกันอย่างรุนแรง การปรับกลยุทธ์หรือเสาะหาวิธีการใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปหรือก้าวทันต่อการแข่งขันนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับโลกในยุคดิจิทัลนี้ การใช้เครื่องมือสำคัญที่เรียกว่า SEO หรือการทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับในการค้นหาของ Google จึงมีความสำคัญ

วันนี้เราจะมาแจกเทคนิค 5 ข้อง่าย ๆ ในการทำ SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอได้เร็วก่อนใคร

1.สำรวจกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง หรือหากพูดให้ถูกคือการรู้จักการเก็บข้อมูลการทำ SEO ของคู่แข่ง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายแค่เข้าไปสำรวจดูว่าเว็บไซต์คู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดใด คอนเทนต์หรือบทความที่เผยแพร่ออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงควรรู้ Traffic เว็บไซต์ของคู่แข่งด้วย เพื่อจะนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงเว็บไซต์ของธุรกิจให้มีความแตกต่างและน่าจดจำ จะได้เป็นโอกาสให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นเจอได้มากกว่า

2.สร้างเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ให้มีช่องแสดงความคิดเห็น (Comment) เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหา ดังนั้นการเพิ่มช่องคอมเมนต์ให้กับนักท่องเน็ตทั้งหลายได้แสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยกันจะทำให้ Google ประเมินหรือตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของเรามีมูลค่าและคุณประโยชน์เพียงพอต่อการจัดอันดับให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ของการค้นหา อย่างเช่นคลิปต่าง ๆ ใน Youtube ที่จะมีตัวเลือกให้ผู้ชมสามารถแสดงความคิดเห็นต่อคลิปวิดีโอได้

3.ใช้คีย์เวิร์ดที่ให้รายละเอียดเชิงลึก (Longtail Keywords) เนื่องจากตามนิสัยของผู้ค้นหา หากต้องการค้นพบสิ่งที่กำลังค้นหาให้เร็วขึ้น จะใช้คีย์เวิร์ดที่สื่อถึงความต้องการนั้น ๆ เช่น ต้องการหาแหล่งขายเสื้อผ้ามือสองใกล้ ๆ บ้าน ผู้ค้นหาก็มักจะพิมพ์คำค้นหาตรง ๆ เช่น “ขายเสื้อผ้ามือสองราคาถูก จตุจักร” แทนคำว่า “ขายเสื้อผ้ามือสอง” เพราะผลการค้นหาจะแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งหรือเว็บไซต์ของร้านขายเสื้อผ้ามือสองตามที่ผู้ค้นหาระบุ

4.ภาพประกอบมีส่วนช่วยดัน SEO ได้ เนื่องจากภาพประกอบสวย ๆ หรือภาพอินโฟกราฟิกดี ๆ ช่วยสร้างแรงดึงดูดและมีความน่าสนใจมากกว่าเว็บไซต์ที่มีแต่ข้อมูลหรือเนื้อหาล้วน ๆ อธิบายง่าย ๆ ก็คือสมองของคนเราเลือกที่จะจำหรือเข้าใจจากภาพได้ดีกว่าตัวหนังสือนั่นเอง และภาพที่เป็นต้นฉบับสวยงาม ก็มีโอกาสถูกเก็บข้อมูลไปแสดงใน Google Images Search ได้ ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมากที่ค้นหาสินค้าจากรูปภาพแทนการใช้ข้อความ

5.สร้างคอนเทนต์ (Content) หรือพอตแคสต์ (Podcast) ที่เป็นประโยชน์ต่อนักอ่านหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้มีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์ถึงภาพลักษณ์ของธุรกิจ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มุ่งเน้นแต่การทำกำไรเพียงอย่างเดียว เมื่อมีผู้เห็นประโยชน์จากเนื้อหาในเว็บไซต์ แล้วนำไปแชร์ต่อ ๆ กัน ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น

การทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่นิยมหรือจดจำเนื่องมาจากการถูกค้นหาเจอในลำดับแรก ๆ ของหน้าผลการค้นหานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถหากให้ความสำคัญและพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

หากเว็บไซต์ของคุณยังไม่ได้อยู่ในลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ช่วงเวลานี้ก็เป็นเวลาที่ดีในการเริ่มต้นทำ SEO อย่างมีคุณภาพได้แล้วล่ะ ไม่มีคำว่าสายเกินไป ขอเพียงเริ่มต้นลงมือทำ

แนะนำเทคนิคการทำ SEO ขั้นพื้นฐานเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับง่าย ๆ

แนะนำเทคนิคการทำ SEO ขั้นพื้นฐานเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับง่าย ๆ

การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันจำเป็นจะต้องพึ่งการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ล้วนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนแทบทั้งโลกอย่างแยกไม่ออก ยิ่งธุรกิจของเรามีการโฆษณาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่สินค้าและบริการของเราจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้น โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการตลาดออนไลน์ก็คือ การทำ SEO นั่นเอง

สำหรับ SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหาบนแพลตฟอร์มเสิร์ชเอ็นจิ้นต่าง ๆ โดยเฉพาะ Google โดยการใช้ “คำ” หรือ “คีย์เวิร์ด” ที่มีผู้ค้นหาเป็นจำนวนมาก เช่น ชื่อคน, ชื่อสินค้า, ชื่อสถานที่ ฯลฯ ยิ่งเราทำ SEO ได้มีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่เว็บไซต์ของเราจะติดอันดับแรก ๆ บนหน้าการค้นหามากขึ้นเท่านั้น แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณาบน Google หรือ Google Ads แม้แต่บาทเดียว ซึ่งเทคนิคขั้นพื้นฐานที่เราควรรู้ก่อนจะเริ่มทำ SEO ได้แก่

1) เลือก “คำ” หรือ “คีย์เวิร์ด” ให้เหมาะสม
เนื่องจากหัวใจสำคัญของการทำ SEO คือ “คำ” หรือ “คีย์เวิร์ด” ที่เราต้องใส่ไว้ในคอนเทนต์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของเรา ยิ่งเราเลือกใช้คำที่มีผู้ค้นหาบน Google มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่ SEO ของเราจะติดอันดับมากเท่านั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าคำบางคำมีการแข่งขันสูง ยิ่งคำที่คนนิยมค้นหามาก ก็ยิ่งมีคู่แข่งมากตามไปด้วย ดังนั้น เราจึงควรเลือกคำให้เหมาะสม ซึ่งเครื่องมือที่สามารถช่วยเราได้คือ Google Keywords Planner, Ubersuggest และ Moz เป็นต้น

2) ใส่ “คีย์เวิร์ด” อย่างเป็นธรรมชาติ
หลายคนมักคิดว่าการทำ SEO คือการใส่ “คีย์เวิร์ด” ให้เยอะที่สุด แต่จริง ๆ แล้ว การใช้คีย์เวิร์ดที่มากเกินไปจนดูผิดธรรมชาตินั้นไม่ใช่เรื่องดีนัก และมีโอกาสที่ “อัลกอริทึม” ของ Google จะตีความว่า SEO ที่เราทำเป็นสแปมที่เข้าก่อกวน และอาจถูกปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ ดังนั้น การใส่คีย์เวิร์ดที่ดีจึงควรใส่ตามจุดสำคัญ เช่น ชื่อเรื่อง, หัวข้อหลัก, หัวข้อย่อย, คำอธิบายย่อ รวมถึงกระจายอยู่ในเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับการใช้ภาษามากที่สุด

3) ควรมี “คีย์เวิร์ดใกล้เคียง”
การใช้ “คีย์เวิร์ด” ซ้ำกันมาก ๆ อาจทำให้คอนเทนต์ของเราขาดความสวยงามทางภาษาและยังมีผลต่อคุณภาพโดยรวมของคอนเทนต์หรือบทความทั้งหมดด้วย ดังนั้น เราจึงควรเลี่ยงการใช้คำซ้ำ ๆ เกินความจำเป็น โดยสลับใช้กับ “คีย์เวิร์ดใกล้เคียง” ที่มีความหมายเดียวกันแต่เขียนต่างกัน เช่น หนัง-ภาพยนตร์-Movie-Films เป็นต้น

นอกจากเทคนิคเบื้องต้นที่ว่ามาทั้งหมดนี้แล้ว การเขียน SEO ยังมีเทคนิคอีกมากมาย ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน แต่ 3 เทคนิคนี้ล้วนเป็นเทคนิคพื้นฐานของการทำ SEO ที่จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ดังนั้น จึงควรฝึกฝนให้ช่ำชองก่อนจะพัฒนาไปเรียนรู้เทคนิคที่สูงขึ้นในอนาคต

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำ SEO ให้เว็บไซต์แล้ว แต่ยังไม่ได้ผล

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำ SEO ให้เว็บไซต์แล้ว แต่ยังไม่ได้ผล

การทำ SEO ถือว่าเป็นเรื่องที่นักธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ได้ยินบ่อยครั้ง เพราะมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำเสมอกับเว็บไซต์ทุกประเภท เพื่อส่งเสริมยอดการขายสินค้าและบริการในระยะยาว แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังประสบปัญหาทำ SEO แล้วก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร เรามาดูกันว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรบ้าง

1. ขาดการศึกษา keyword SEO ที่ดีพอ
การใช้คีย์เวิร์ด SEO ควรใช้โปรแกรม Google keyword planner หรือ Ubersuggest ช่วยวิเคราะห์ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น การโรงแรม ท่องเที่ยว สถาบันกวดวิชา บริการทำเว็บไซต์ SEO ฯลฯ เพราะโปรแกรมทั้งสองมีประสิทธิภาพในการแนะนำสูง โดยเฉพาะหากต้องการหาข้อมูลเชิงลึก เป็นค่าสถิติ หรือเห็นกราฟที่ชัดเจน ว่าควรใช้คำใดจะมีอำนาจในการแข่งขันสูงกว่ากัน แนะนำให้ลงทะเบียนสมัครสมาชิกแบบมีค่าใช้จ่าย จะคุ้มค่ามากกว่า

2. ขาดการทำ SEM ควบคู่กับ SEO
การทำเพียง SEO ต่อเนื่องหลายเดือน โดยไม่ทำ SEM จะทำให้เสียลูกค้าให้แก่แบรนด์เจ้าอื่นไปอย่างมาก ดังนั้นในระหว่างการสะสมข้อมูลด้วย SEO ก็ควรทำ SEM หรือ search engine marketing ไปพร้อมกันด้วย โดย SEM คือ การทำการตลาดแบบมีค่าใช้จ่าย เช่น การซื้อพื้นที่โฆษณา โดยจะเสียค่าประมูลคีย์เวิร์ดให้แก่ search engine อย่าง Google แต่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายได้ภายใต้งบประมาณที่เจ้าของเว็บไซต์กำหนดเอง

3. ขาดการทำโปรโมชัน
การนำเสนอโปรโมชันเป็นระยะ จะช่วยสร้างชื่อแบรนด์ให้เป็นที่จดจำให้ในกลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มลูกค้าใหม่ให้มากขึ้นได้หลายเท่าตัว เช่น ช่วงเทศกาลวันคนโสดวันที่ 11 พฤศจิกายนของทุกปี วันขึ้นปีใหม่ วันวาเลนไทน์ วันสงกรานต์ ที่ผู้คนนิยมซื้อสินค้าบริการเพื่อเป็นของขวัญให้แก่ตัวเองหรือมอบให้แก่กัน หากทำโปรโมชันและประชาสัมพันธ์ให้เพียงพอ จะทำให้มียอดเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นตามไปด้วย

4. ขาดการรีวิวที่น่าสนใจ
โดยทั่วไปผู้คนมักเชื่อถือสินค้าจากการรีวิวหรือคอมเมนท์จากผู้มีประสบการณ์มาก่อน เช่น หากจะสั่งซื้อเสื้อผ้ากีฬา อุปกรณ์ไอที ฯลฯ จากเว็บไซต์หนึ่ง ๆ อาจมีความกังวลใจว่าสินค้านั้นตรงกับภาพในโฆษณาหรือไม่ บริการหลังการขายเป็นเช่นไร หากสินค้ามีปัญหา สามารถส่งคืนหรือมีรับประกันสินค้าตรงตามที่ระบุไว้หรือไม่ หากมีการรีวิวจากลูกค้าที่เคยใช้บริการมาก่อน ก็จะยิ่งเสริมความมั่นใจให้กล้าใช้บริการได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่ทำเว็บไซต์ SEO จึงควรเชิญชวนให้ลูกค้าเก่ามารีวิวเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ให้มากที่สุด

จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์ที่ทำ SEO ในระดับพื้นฐาน แต่ขาดการใส่ใจในรายละเอียดบางจุด ก็อาจส่งผลกระทบให้เว็บไซต์ไม่ดัง มีโอกาสน้อยที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ผู้อ่านได้นำไปปรับใช้ เพื่อเพิ่มยอดการสั่งสินค้าและบริการมากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว