พูดคุย SEO

บริษัทรับทำ SEO ทำอะไร มีบทบาทยังไงในธุรกิจ

บริษัทรับทำ SEO ทำอะไร มีบทบาทยังไงในธุรกิจ

สำหรับธุรกิจที่กำลังดำเนินตลาดบนโลกออนไลน์ ในยุคนี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของการทำ SEO ไปได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดันอันดับเว็บไซต์และสร้างช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพได้อย่างตรงจุด แต่การที่บริษัทจะลงมือทำ SEO ด้วยตนเองเป็นเรื่องยุ่งยากและอาจไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่ควร จึงเกิดธุรกิจบริษัทรับทำ SEO ขึ้นมา โดยพวกเขามีบทบาทหน้าที่ดังต่อไปนี้

1.สร้างคีย์เวิร์ดที่ส่งผลดีต่อธุรกิจมากที่สุด
จุดตัดสินว่า SEO ที่ทำจะสามารถจับจุดตลาดได้อยู่หมัดหรือไม่ คือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมากที่สุด และมีปริมาณการค้นหาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ซึ่งบริษัทที่ดูแลเกี่ยวกับ SEO จะมีความสามารถในการทำรีเสิร์ชคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพได้ ทำให้การวางแผนสร้างคอนเทนต์บนโลกออนไลน์มีเป้าหมายและแบบแผนที่แน่นอน

2.สร้างคอนเทนต์ตามหลัก SEO
การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ธุรกิจไม่ได้เน้นไปที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องใส่ใจคุณภาพของเนื้อหา ซึ่งถ้าจะสร้างให้ตรงกับหลักการของ SEO มีข้อปฏิบัติยิบย่อยมากมายจนผู้ประกอบการอาจมองข้ามไป ในขณะที่บริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ SEO จะเข้าใจข้อกำหนดเหล่านั้นและสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาได้อย่างถูกต้อง

3.ยกระดับคอนเทนต์บนเว็บไซต์
หลายบริษัทอาจจะมีเว็บไซต์เก่าของตนเองที่เคยสร้างไว้ แต่ผลลัพธ์เรื่องอันดับการค้นหาอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ บริษัทสามารถแก้ไขโครงสร้างของเว็บไซต์และเนื้อหาเหล่านั้นให้มีองค์ประกอบที่ครบถ้วนที่น่าจะถูกใจอัลกอริทึมของ Google จึงสามารถดันอันดับให้สูงขึ้นผ่านบริการของบริษัททำ SEO ได้นั่นเอง

4.สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ
ไม่ใช่เพียงแค่เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ต้องได้รับการใส่ใจ แต่ Backlink ที่เชื่อมโยงกลับมาที่หน้าเพจนับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต้องมีการสร้างคอนเทนต์เป็นจำนวนมากพอสมควรและยังต้องเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพอีกด้วย ซึ่งบริษัททำ SEO สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้เป็นอย่างดี

5.สรุปรายงานติดตามคุณภาพเว็บไซต์
หลังจากดำเนินการทาง SEO อย่างครบถ้วนแล้ว จะต้องมีการติดตามผลและปรับปรุงให้ไปถึงเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบริษัททำ SEO จะมีหน้าที่จัดทำรายงานสรุปความเคลื่อนไหวและกระแสตลาดที่เกิดจาก SEO อย่างลงลึกและตรงประเด็น ทำให้สามารถนำไปต่อยอดกับการขยายธุรกิจให้มั่นคงยิ่งขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าบทบาทของบริษัททำ SEO มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในระยะยาวอย่างแน่นอน ซึ่งโดยทั่วไปการลงทุนเรื่อง SEO มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ด้านอื่น ๆ จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจทุกขนาด แม้แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เช่นกัน จึงนับเป็นการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่สามารถมองข้ามได้เลยในปัจจุบัน

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรี มีอะไรบ้าง

เพราะเราต่างก็ทราบกันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การใช้ SEO นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างเห็นผล เพราะ SEO ช่วยปรับปรุงการจัดอันดับแรงค์กิ้งเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ขอแพลตฟอร์มเสิร์ชเอนจิ้น แต่การปรับปรุงปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ด้วยการใช้ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งการทำ SEO ยังถือว่าเป็นงานใหญ่ แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เพราะในที่สุดคุณก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของคุณ ข่าวดีก็คือสามารถทำได้ด้วยตนเองเช่นกันด้วยการใช้ SEO tools

SEO tools ที่มีให้คุณเลือกใช้ได้ฟรีมีอะไรบ้าง
บทความนี้เราจะช่วยให้คุณได้มีทางลัดตัวช่วยในการทำ SEO ด้วยการใช้ SEO tools เพื่อช่วยในการวิจัยและวิเคราะห์การปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ผ่านการตลาดออนไลน์ และด้วยการใช้ SEO tool คุณจะสามารถสร้างประสิทธิภาพในการปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์บนเมตาแท็กซ์ของแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมี SEO tools ให้คุณสามารถเลือกใช้ฟรี ๆ ได้อีกด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

1.Google PageSpeed Insights
เครื่องมือ SEO tools ที่จะช่วยตรวจสอบในเชิงลึกเกี่ยวกับความเร็ว ความสามารถในการเข้าถึง และการใช้งานเว็บไซต์ของคุณจาก Google โดยจะทดสอบเวลาในการโหลดและประสิทธิภาพของการเข้าถึง URL ของเว็บไซต์ของคุณ

2.Ahrefs Webmaster Tools
เครื่องมือ SEO tools นี้จะช่วยให้คุณเห็นการจัดอันดับคำค้นหลักทั่วไปของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณและจะให้คำแนะนำในการปรับปรุงการเชื่อมโยงคำค้นหลักกับเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้คุณตรวจสอบและปรับปรุงการเพิ่มอันดับของคุณในเสิร์ชเอนจิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นเครื่องมือการตรวจสอบทางเทคนิคที่มีประโยชน์มาก

3.Google Analytics
เครื่องมือ SEO tools ที่แสดงสถิติเว็บไซต์และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหา ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือในเชิงวิเคราะห์ที่เปิดให้ใช้ฟรีที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ได้ทุกบิท พร้อมทั้งรายงานผลการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณว่าได้รับการเยี่ยมชมจากการค้นหาโดยทั่วไปหรือไม่อย่างไร ทำให้คุณเห็นเส้นทางการเชื่อมโยงของคุณจากผู้เข้าชมได้อย่างชัดเจนที่สุด

SEO tools เหล่านี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการทำ SEO ได้อย่างมากมาย ช่วยลดเวลาการวิจัยหาคำค้นหลักซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อและต้องใช้เวลานาน ด้วยการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจาก SEO tools คุณจะสามารถได้รับประโยชน์จาก Big Data ซึ่งคุณจะวิเคราะห์ได้ว่า เว็บไซต์ของคุณควรจะใช้กลยุทธ์อะไร และควรจะปรับแต่งอย่างไร อีกทั้งยังช่วยให้คุณติดตามคู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสให้เร็วที่สุดและดีที่สุดได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของธุรกิจหลายเว็บไซต์ การใช้ SEO tools จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ

เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจด้วยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

เพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจด้วยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

ถ้าหากว่าพูดถึง SEO เชื่อเลยว่าต้องคุ้นหูกันอย่างแน่นอน โดย SEO นั้นย่อมาจาก Search engine optimization เป็นหนึ่งในวิธีการที่หลาย ๆ แบรนด์นำมาใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจติดอันดับเวลาที่มีการกดค้นหาผ่านหน้าเว็บค้นหาต่าง ๆ ซึ่งข้อดีของการทำ SEO ก็มีมากมายหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือช่วยทำให้อันดับเว็บไซต์อยู่ในลำดับต้น ในหน้าการค้นหาแรก ๆ ของการค้นหาเมื่อมีการกดค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ผู้คนสนใจหรือเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของแบรนด์ควรต้องรู้
วิธีการทำ SEO สามารถทำได้หลายวิธี เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่าง การเลือก Domain name ที่ดีมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ เพื่อให้ทางเว็บค้นหาและลูกค้าสามารถรู้ได้ถึงผลิตภัณฑ์และแนวทางของเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์
ในส่วนของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ก็ควรมีการลงเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ใช่อัปเดตนาน ๆ ทีครั้งหรือลงเนื้อหาเยอะ ๆ ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ควรมีเนื้อหาใหม่ ๆ ที่มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ผู้คนกดค้นหามาลงภายในเว็บไซต์เป็นประจำ พูดง่าย ๆ ก็คือมีการอัปเดตเนื้อหา ข้อมูล บทความภายในเว็บไซต์อยู่ตลอด ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อเว็บไซต์ ดีต่อกระบวนการ search engine ทั้งนี้ก็ควรที่จะเป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่การคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น ๆ มาใช้ลงในเว็บไซต์ของตนเอง
มากไปกว่านั้นภายในเว็บไซต์ก็ควรที่จะมีภาพ มีวิดีโอประกอบนอกเหนือจากเนื้อหาด้วย ซึ่งสามารถสอดแทรกคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เข้าไปที่ใต้รูปภาพหรือวิดีโอได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็จะมีผลต่อการจัดอันดับหรือการให้คะแนนของทาง google ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเนื้อหาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอก็ควรที่จะตอบโจทย์ข้อมูลที่ผู้คนต้องการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ
และที่สำคัญอย่าลืมที่จะวางรูปแบบหรือโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ง่ายต่อการค้นหา รวมถึงรูปแบบที่มีการรองรับการเข้าใช้งานภายในเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย ควรต้องมีความง่าย มีความสะดวกในการเข้ารับชม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจก็ควรที่จะต้องปรับตัวให้ทันด้วย
และทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นมีขั้นตอนมากมาย ประกอบไปด้วยหลายองค์ประกอบ สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและเพิ่มความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ได้จริง สามารถนำไปทำตามได้ไม่ยาก แต่ต้องมีแนวทางที่ดีและความสม่ำเสมอในการทำ

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

ในปัจจุบันนี้สำหรับการทำธุรกิจต่างๆ การทำการตลาดในช่องทางออนไลน์จะถือว่าสำคัญมาก ๆ เพราะเราต้องยอมรับว่า สมาร์ทโฟนนั้นปฏิวัติการทำการตลาดอย่างสิ้นเชิง ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ผ่านทางสมาร์ทโฟนซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึงจริง ๆ เพราะสะดวกสบาย รวดเร็ว และที่สำคัญ สมาร์ทโฟนนั้นอยู่ติดกับตัวผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายเกือบตลอดเวลา และโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม จากผลงานวิจัยที่ผ่านมาเราพบว่า ธุรกิจโรงแรมเป็นกลุ่มที่ทำ SEO มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด เมื่อเทียบกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ

ทำไม SEO จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์ของธุรกิจโรงแรม

สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น แทบจะทั้งหมดต่างก็มีเว็บไซต์เป็นช่องทางการสื่อสารเผยแพร่ข้อมูลทางออนไลน์ ดังนั้นหากเว็บไซต์ของโรงแรมมีผู้เข้าชมมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินค่าโฆษณา อัตราผลกำไรย่อมจะยิ่งดีขึ้น นั่นก็เพราะการทำ SEO จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับกลไกช่องทางในการค้นหาโรงแรมที่พักของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

โดย SEO จะทำให้ผลการค้นหาของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้เจอกับหน้าเว็บไซต์ของโรงแรมของคุณก่อนในอันดับต้น ๆ ของเสิร์ชเอ็นจิ้นอย่างเช่น กูเกิ้ล และนั่นหมายความว่าเมื่อโรงแรมของคุณอยู่ในลำดับต้น ๆ ของการค้นเจอของลูกค้า ก็เท่ากับว่าลูกค้าจะเข้าชมเว็บไซต์ของโรงแรมได้มากขึ้น อัตรายอดจองจะมากขึ้น และในที่สุด ก็ย่อมจะนำมาซึ่งผลกำไรและความสำเร็จที่มากขึ้นนั่นเอง

นอกจากนั้น SEO ก็ยังทำให้โรงแรมสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ตรงกับลักษณะของธุรกิจโรงแรมได้มากขึ้น เพราะผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของโรงแรมส่วนใหญ่ ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าซึ่งมีความสนใจมุ่งเป้าเจาะจงกับข้อเสนอ และเงื่อนไขของโรงแรมอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับการตลาดแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นลักษณะให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ออกไปในวงกว้าง ดังนั้นอัตราสัดส่วนของการที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะกลายเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและตัดสินใจจองโรงแรมนั้น จึงมีสัดส่วนอัตราเฉลี่ยการจองห้องที่มากกว่าเมื่อเทียบกับการตลาดในแบบเดิม ๆ อย่างเห็นได้ชัด และนั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของโอกาสในการขายหรือ การยืนยันยอดจองห้องจึงมากกว่า

SEO ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เพราะจะต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะผลักดันให้เว็บไซต์โรงแรมของคุณขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้ แต่ข้อได้เปรียบหลัก ก็คือ SEO จะสร้างรายได้ให้กับโรงแรมได้มากกว่าในระยะยาว และยังช่วยให้โรงแรมของคุณมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากลูกค้ามักจะตัดสินใจและให้ความสำคัญกับผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ เสมอ อีกทั้งเมื่อจำนวนผู้ชมเว็บไซต์ของโรงแรมมากขึ้น ก็จะช่วยให้โรงแรมสามารถนำสถิติการเข้าชมมาปรับปรุงกลยุทธ์ เพิ่มโปรโมชั่นให้กับกลุ่มลูกค้าที่ตรงเป้าหมายได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

และที่สำคัญ สำหรับธุรกิจโรงแรมแล้ว เว็บไซต์ก็เหมือนหน้าบ้านของธุรกิจ เพราะเป็นพื้นที่สำหรับให้ข้อมูลและการบริการให้กับลูกค้า ดังนั้นหากโรงแรมของคุณเป็นที่รู้จัก เพราะผู้คนต่าง ๆ หาเจอได้ง่ายมากที่สุดในเสิร์ชเอ็นจิ้น ก็หมายความว่าโรงแรมของคุณจะได้เปรียบสำหรับการตัดสินใจจองห้องพักของลูกค้าได้ก่อนใคร และครอบครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า และเร็วกว่าโรงแรมอื่น ๆ นั่นเอง

3 ข้อควรระวังของการใช้ SEO

ข้อควรระวังของการใช้ SEO

SEO มีต้นทุนการตลาดน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ Marketing รูปแบบอื่น และใช้ได้ผลเมื่อต้องการให้ธุรกิจส่งของออนไลน์ หรือ E-Commerce ติดอันดับการค้นหาใน Google แต่ SEO ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน หากปฏิบัติตามหลักที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้ยอดมองเห็นเว็บของเราน้อยลง ซึ่งมีข้อห้ามที่ควรรู้อยู่ 3 ข้อ หากรู้แล้วจะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของเราไปได้สวยแน่นอน

ทำ Content เกี่ยวกับ “ช่วงเวลา”

ความหมายคือ เราเลือกทำ SEO โดยมีเงื่อนไขของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น SEO เรื่องสินค้าการเกษตร โดยปกติแล้ว สินค้ากลุ่มนี้จะให้ผลตามเวลาเก็บเกี่ยว หากเป็นช่วงนอกฤดูจะมีคนเลือกทานผลไม้นั้น ๆ ลดลง ถ้าเราเลือกทำ SEO เรื่อง “ทุเรียน” แม้จะสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ทำทุกอย่างถูกหลัก แต่ปล่อย content ขึ้นบนเว็บ “ช่วงหน้าหนาว” จะไม่ได้ยอดการมองเห็นเว็บตามที่ต้องการ เพราะคนไม่ทานทุเรียนหน้านี้กัน วิธีหนึ่งที่เราสามารถเช็กเบื้องต้นได้ว่า สินค้าของเรามีผลของฤดูกาลมาเกี่ยวข้องไหม
โดยใช้ Google Trend เป็นการเช็กเบื้องต้นว่า ยอดคนค้นหาขึ้นลงตามเวลาหรือไม่ กราฟที่มีผลของฤดูกาลจะขึ้นลงสูงผิดปกติ ดังเช่นทุเรียนที่ออกผลผลิตช่วงหน้าฝน เห็นได้จากยอดการค้นหาเดือนมิถุนายน -กรกฎาคม จะสูงผิดปกติ และกลับมาเหมือนเดิมหลังจากนั้น และสินค้าอย่างเสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว มีลักษณะเช่นเดียวกับทุเรียนด้วย การทำ SEO ควรเลือก Topic ที่ไม่มีผลของฤดูกาลมาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นคนจะมองไม่เห็นเว็บของเราต่อเนื่องตลอดทั้งปี

Backlink ไม่มีคุณภาพ

ทุกบทความที่เขียนขึ้นแม้ว่าจะคิดใหม่ทั้งหมด แต่ต้องมี Reference เป็นข้อมูลเบื้องหลัง การเลือกใส่ Ref คือการทำ “backlink” ซึ่งเว็บไหนได้การอ้างอิงเยอะ ก็เหมือนได้คะแนนโหวตเยอะ และอย่าคิดว่าข้อมูลที่นำมาเขียนไม่มีความสำคัญต่อการจัดลำดับ โดย Backlink ที่ดีควรมีข้อมูลคุณภาพ ได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์อื่น หากนำข้อมูลมาจากเว็บที่แย่จะเป็นดึงอันดับของเว็บไซต์เราให้ไม่มีคุณภาพไปด้วย เว็บที่แนะนำในการทำ backlink คือเว็บในหน้าแรกของ Google หลังจากที่มีการค้นหาคำที่ต้องการ
และสามารถนำเว็บไซต์ที่จะเลือกอ้างอิงไปเช็ก backlink อีกครั้งด้วยการค้นหาในเว็บ Ubersuggest

สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

การจะให้เว็บไซต์ของเราติดอยู่หน้า 1 ของ Google ให้นานที่สุดควรเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ นั่นคือควรมีความยาวอย่างน้อย 500 คำ แต่ถ้ายาวเกินไปก็ไม่ดี ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะกดออกก่อน เพราะเนื้อหาเยอะเกินไป และเมื่อมีคนกดออกเร็วเกินไป AI จะมองว่าเนื้อหาที่เขียนไม่มีคุณภาพ และจัดอันดับเว็บไซต์เราอยู่หน้าอื่น ทำให้การขายสินค้าและโปรโมทไม่สามารถทำได้ตามที่ต้องการ

ทั้งนี้การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ แต่หัวใจหลักสำคัญจริง ๆ คือเนื้อหาควร Unique จนเว็บอื่นนำเราไปอ้างอิง

บทความ SEO คุณภาพ สิ่งที่จะช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับ

บทความ SEO คุณภาพ

การที่เว็บไซต์จะประสบความสำเร็จหรือติดอันดับการค้นหานั้นจำเป็นต้องทำ SEO ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการทำ SEO นั้นคือมีบทความ SEO คุณภาพอยู่ในเว็บไซต์นั้น

บทความ SEO คืออะไร ?

คือบทความที่มีคุณภาพ มีความชัดเจนว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาอยู่ในนั้น สอดคล้องกับ Search Engine Algorithm หรือกระบวนการค้นหา

บทความ SEO ประกอบไปด้วย

  • หัวข้อ – หัวข้อต้องมีคีย์เวิร์ด หรือขึ้นต้นด้วยคีย์เวิร์ดได้ยิ่งดี ควรมีความยาวประมาณ 40-60 ตัวอักษร เขียนให้ดึงดูดคนอ่านและกระตุ้นความสงสัย ตัวอย่างเช่น “ งานออนไลน์ แชตคุยกับลูกค้า ทำวันละ 4 ชม. ได้วันละ 1,000 จริงหรือ ”
  • คำนำ – เกริ่นนำว่าบทความนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำไมถึงเป็นประเด็น ประมาณความยาวไม่เกิน 100 คำ ตัวอย่างเช่น “ ทุกวันนี้จะเห็นโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก งานออนไลน์ทำเบา ๆ แต่ได้เงินวัน 1,000 เศรษฐกิจฝืดเคือง พอเห็นแบบนี้ก็ยั่วยวนใจไม่ใช่น้อย”
  • เนื้อเรื่อง – เขียนถึงข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่างานออนไลน์แบบนี้มีกี่ประเภท โดยเรียงลำดับ 1 2 3 เช่น 1. อาชีพขายตรงที่เราต้องซื้อสินค้าเขามาตุนไว้ก่อน 2. เทรดหุ้นออนไลน์ 3. ขายประกัน เขียนถึงรายละเอียด ช่องทางการสมัคร ข้อดีและข้อเสีย

สรุป

สรุปเนื้อเรื่องทั้งหมดให้ครอบคลุมพร้อมกับให้ข้อคิดเตือนใจ เช่น “ อาชีพแบบนี้ได้แก่อาชีพ……… ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ ”

การตั้งค่า SEO ให้กับบทความ

ถ้าใครทำเว็บไซต์นั้นจะมีโปรแกรมตั้งค่า SEO เพิ่มเติมให้กับบทความดังนี้

  1. Title คือหัวข้อหรือชื่อเรื่องนั่นเอง เป็นอันเดียวกันกับบทความที่เราเขียนไป
  2. Discription อธิบายรายละเอียดเนื้อหาของบทความว่าเกี่ยวข้องกับอะไร แนะนำความยาว 120-150 ตัวอักษร
  3. Keyword Keyword ก็คือคำค้นหาที่คาดว่าคนทั่วไปจะพิมพ์ค้นหา Keyword ควรสอดคล้องกับเนื้อหาในบทความ อย่างเช่นคำว่า “ งานออนไลน์, ทำงานที่บ้าน, ทำงานในเน็ต, งานอินเทอร์เน็ตวันละ 1,000 ” ใส่ประมาณไม่เกิน 20 คำ
  4. รูปภาพประกอบ ใส่รูปภาพประกอบแล้วใส่ Alt หรือคำอธิบายรูปภาพ โดยใส่เป็น Keyword เช่นใส่คำว่า “ งานออนไลน์ ” แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้ทุกรูป Alt เป็น Keyword ควรใส่บางรูปเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสแปม

ควรโพสต์บทความใหม่บ่อยแค่ไหน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหากไม่ใช่เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์ใหม่ควรลงบทความเรื่อย ๆ สัปดาห์ละประมาณ 3 บทความ ไม่ควรลงทุกวันเพื่อให้ Google ได้มีเวลา Index หรือเอาบทความเข้าระบบ เว็บไซต์เก่าควรโพสต์สัปดาห์ละ 1 บทความ ไม่ควรอัดบทความจำนวนมาก ๆ ให้กับเว็บไซต์

โครงสร้างของเว็บไซต์ที่จำเป็นคือบทความ ยิ่งบทความมีคุณภาพ มีความชัดเจน ตอบโจทย์ผู้อ่านก็ยิ่งดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับมากขึ้น บทความ SEO ก็คือบทความคุณภาพทั่วไปหากแต่นำมาปรับแต่งให้มีความชัดเจนเพื่อการค้นหา ความถี่ในการลงบทความใหม่ควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ

เลือกทางผิดเว็บไซต์เปลี่ยน กับ SEO ทั้ง 3 สาย

เลือกทางผิดเว็บไซต์เปลี่ยน กับ SEO ทั้ง 3 สาย

เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกับการทำ SEO นั่นก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้เว็บไซต์ของตนเองสามารถติดอันดับการค้นหาของ Google ได้ ภายใต้กฎ กติกาและเงื่อนไขที่ทาง Google กำหนด เราจะเรียกคนที่ทำตามกติกานี้ว่า SEO สายขาว แต่ในมุมสว่างย่อมมีมุมมืดเสมอนั่นคือการทำ SEO สายเทา และ SEO สายดำ ซึ่งการทำ SEO ทั้ง 3 สายมีความแตกต่างกันอย่างไรไปดูกันเลย

1.WHITE HAT SEO

SEO สายขาว คือการทำ SEO ที่เป็นไปตามกฎ กติกาที่ทาง Google เป็นผู้กำหนดขึ้นมา โดยจะเน้นไปที่คุณภาพของเว็บไซต์เป็นหลัก มีเนื้อหาและข้อมูลเป็นที่น่าติดตาม มีความรู้ที่น่าสนใจ เป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและ Backlink ที่มีคุณภาพ สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงให้แก่เว็บไซต์หรือผู้ใช้งานอื่น ๆ ได้

  • คุณลักษณะที่สำคัญของเว็บไซต์ที่ทำ SEO สายขาว
  • เนื้อหาและบทความจะต้องไม่มีการทำซ้ำ copy จากเว็บไซต์อื่น
  • ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ในเรื่องของรูปภาพและเนื้อหาอื่น ๆ
  • มีการทำ Research Keyword อย่างดี
  • Backlink มีความน่าเชื่อถือ
  • ไม่ทำ Spam Keyword
  • รองรับการใช้งานทั้งคอมพิวเตอร์และมือถือ

2.GREY HAT SEO

SEO สายเทา คือ การอาศัยช่องโหว่ของ สายขาวและสายดำมาประยุกต์ เพื่อไม่ให้ Ai ของ Google สามารถตรวจจับได้ ซึ่งจะให้ผลการค้นหาเร็วกว่าการทำสายขาวเพียว ๆ หรือพูดง่าย ๆ คือ เล่นในกติกาแต่มีตุกติกบ้าง แม้จะเสี่ยงการโดนแบนจาก Google แต่เสี่ยงน้อยกว่า หรือถ้าหากโดนทำโทษก็โดนไม่มากเหมือนเช่นการทำ SEO สายดำ ซึ่ง SEO สายเทา มีการแข่งขันสูงมาก เพราะนอกจากจะช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ไวแล้ว ยังต้องรักษากฎกติกาให้เป็นไปตามที่ Google กำหนดอีกด้วย หากจะเปรียบเทียบกับนักกีฬาก็เหมือนพวกที่แอบใช้สารกระตุ้นที่กว่าจะตรวจพบก็แข่งขันจบไปแล้วนั่นเอง

3.BLACK HAT SEO

SEO สายดำ ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสายขาว ดังนั้น SEO ทุกอย่างที่ทำจะอยู่นอกเหนือกฎ กติกาของ Google ซึ่ง SEO สายดำเป็นการอาศัยช่องโหว่ของอัลกอริทึมของ Google ล้วน ๆ โดยอาศัยการตลบหลัง Ai ของ Google อีกทีหนึ่ง คล้าย ๆ ดักปล้นรถขนเงินที่ขนเงินออกจากธนาคาร พอได้ข้อมูลจาก Ai ของ Google ก็นำไปวิเคราะห์และจัดการช่องโหว่ที่มี ส่งผลให้เว็บไซต์จัดอันดับการค้นหาอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าแซงสายขาวภายในวันเดียวทั้งที่สายขาวอุตส่าห์ทำมาเป็นปี ๆ เลย แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะโดน Google แบนด้วยการไม่แสดงผลหน้าเว็บไซต์นั้นตลอดกาล ยิ่งในปัจจุบัน Ai ของ Google มีการพัฒนาและตรวจจับที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ก็เพื่อป้องกันเว็บไซต์ที่อาศัยการทำ BLACK HAT SEO นี้ เพื่อผู้ใช้งานจะได้เข้าถึงเนื้อหาที่ดีที่สุดและปลอดภัยด้วย

ยกตัวอย่างการทำ SEO สายดำ

  • Spam Link การทำลิงก์ไม่มีคุณภาพ ลิงก์เสียชี้มาที่เว็บไซต์ เช่น โฆษณาต่าง ๆ จากเว็บพนัน, เว็บหนังเถื่อน เป็นต้น
  • Cloaking การซ่อนเนื้อหาที่มีความสลับซับซ้อนหลาย ๆ ขั้นตอนเพื่อปกปิด อำพราง
  • Keyword Stuffing การมุ่งเน้นแต่ Keyword เดิม ๆ ไม่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งาน

การทำ SEO ทั้ง 3 แบบ สายไหนดี สายไหนยั่งยืน สายไหนโกง ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเว็บไซต์แล้วว่าอยากให้เว็บไซต์ของตนเองอยู่บนโลกออนไลน์ตลอดไปหรือไม่ หรือต้องการโดนแบนไปตลอด หากคุณหวังที่จะสร้างเว็บที่ดีมีคุณภาพแล้วล่ะก็ การทำ SEO สายขาวที่อยู่ในกรอบกติกาดูจะมีภาษีดีกว่า แม้จะค่อยเป็นค่อยไปแต่เติบโตแบบยั่งยืน ดีกว่าดังได้วันเดียวแล้วหายไปเลย

SEO ทำแล้วได้อะไรบ้าง 2022

SEO ทำแล้วได้อะไรบ้าง 2022

SEO เป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ที่นิยมมากทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีกูรูมากมายแนะนำให้คนที่ต้องการขายสินค้าในอินเตอร์เน็ตต้องเรียนรู้เทคนิคไว้ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจยุคใหม่ เรามาดูกันว่าทำ SEO แล้วจะได้อะไรบ้าง

1. ทำเว็บไซต์แบบมีทิศทาง
หากคุณไม่เคยทำเว็บไซต์มาก่อนหรือแม้แต่เป็นมือใหม่ในการเขียนบทความ เมื่อจะทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็ไม่ง่ายที่จะหาแนวทางที่เหมาะสม และคงต้องใช้เวลานานในการจับหลักให้ได้ การเรียนรู้อย่างสะเปะสะปะจะทำให้คุณเสียเวลาและเสียกำลังใจได้ง่าย การทำตามหลักการ SEO จึงเป็นเทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการนำเสนอข้อมูลสู่สายตากลุ่มคนเป้าหมายมากที่สุด

2. เพิ่มโอกาสธุรกิจอยู่รอด
คงไม่ดีแน่หากคุณเสียเวลาทำเว็บไซต์ไปเนิ่นนาน แต่กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ ทั้งด้านผู้อ่านหรือผู้สั่งซื้อสินค้าบนเว็บไซต์คุณ อย่าลืมว่าการทำเว็บไซต์จะมีต้นทุน เช่น การจ้างคนเขียนบทความ SEO ค่าโดเมนรายเดือน ค่ากราฟิกประกอบ ฯลฯ การทำตามหลัก SEO จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการทำให้อันดับของการสืบค้นผ่านระบบกูเกิ้ลอยู่ด้านบน ๆ ทำให้มีโอกาสถูกเห็นง่ายขึ้นอย่างมาก และตามมาด้วยการได้รับออเดอร์สินค้าในไม่ช้า ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีโอกาสอยู่รอดได้มากขึ้น

3. ขายสินค้าได้ตลอด 24 ชม. ทั่วโลก
หากเป็นในอดีต คงไม่มีใครเชื่อว่าคุณสามารถขายสินค้าให้ชาวต่างชาติได้ง่ายและเร็วผ่านระบบออนไลน์ในเว็บไซต์คุณ แต่ปัจจุบันปี 2022 มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำได้ เพียงแค่ทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ตัวเอง จนมีอันดับสูงขึ้นและเข้าถึงลูกค้าต่างชาติในภาษาต่าง ๆ คุณก็มีโอกาสขายของได้ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงแล้ว ทั้งนี้มีตัวช่วยเช่น โปรแกรมแปลงภาษาอัตโนมัติที่คุณสามารถติดตั้งในเว็บไซต์ได้ หรือ จะจ้างนักเขียนในภาษาต่างประเทศ ที่เป็นชาติกลุ่มเป้าหมาย เช่น จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ ก็จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้ง่ายขึ้น

4. มีอำนาจแข่งขันสูงขึ้น
หากคุณเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ ที่มีศักยภาพด้านกำลังคนและสามารถจ่ายได้เล็กน้อยสำหรับค่าโฆษณา คุณคงจะกลัวว่าจะสู้กับบริษัทใหญ่ที่มีทุนสูงและมีผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่าง ๆ ได้อย่างไร การทำ SEO เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ให้ เมื่อทำอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คะแนนสะสมของข้อมูลในระบบ algorithm ใน google สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เว็บถูกนำเสนอในอันดับท็อปของหน้าต่างค้นหาได้ จึงเป็นโอกาสให้เจ้าของธุรกิจรายเล็กสามารถแข่งขันได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO เป็นสิ่งที่ให้โอกาสดี ๆ แก่ธุรกิจและการสร้างแบรนด์ของคุณ ทั้งนี้ หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายก็ควรศึกษาการทำ SEO ด้วยตัวเอง จากหนังสือหรือการลงเรียนคอร์สสอนที่มีกูรูเป็นที่ปรึกษาในรายละเอียดต่าง ๆ เราหวังว่าคุณจะเห็นความสำคัญของการทำ SEO มากขึ้น และนำไปพิจารณาว่าจะทำกับเว็บไซต์ของคุณในรูปแบบใดต่อไป

ส่องเทรนด์การทำ SEO 2022 ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด

ส่องเทรนด์การทำ SEO 2022 ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำการตลาดออนไลน์ ถือเป็นเทรนด์การตลาดที่มาแรงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคต่างค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine กันเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นทำให้ SEO หรือ Search Engine Optimization ได้รับความนิยมในหลายธุรกิจ และแน่นอนว่าเทรนด์การตลาดออนไลน์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เรื่อย ๆ ตามพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่นเดียวกับในปี 2022 ที่เทรนด์การทำ SEO อาจเปลี่ยนไป ทำให้นักการตลาดออนไลน์ต้องปรับตัว เพื่อให้ทันกับกระแสการทำ SEO อยู่เสมอ

เทรนด์การทำ SEO ในปี 2022 ให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง

1. การทำ Voice Search
แม้ว่าคนจำนวนมากจะนิยมค้นหาข้อมูลที่ต้องการผ่านคีย์เวิร์ด แต่ถึงอย่างนั้นกลับพบว่าในต่างประเทศนั้นมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมากที่หันมาค้นหาข้อมูลที่ต้องการผ่านฟังก์ชันการค้นหาด้วยเสียงหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Voice Search โดยมีอัตราการใช้งานที่เติบโตแบบก้าวกระโดด อีกทั้งในปัจจุบัน Search Engine ชื่อดังอย่าง Google ยังพัฒนาการค้นหาด้วยเสียงเป็นภาษาไทยได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว นั่นจึงทำให้นักการตลาดออนไลน์ต้องตื่นตัวในการพัฒนาคอนเทนต์ให้รองรับการค้นหาผ่าน Voice Search เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการทำ SEO

2. การพัฒนา Mobile Friendly
ต้องยอมรับเลยว่าสมาร์ทโฟนเป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ในยุคนี้ จึงไม่แปลกที่โทรศัพท์มือถือจะถูกพัฒนาให้ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง โดยผู้คนส่วนใหญ่นิยมค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน นั่นทำให้เทรนด์การทำ SEO ในปี 2022 ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจและใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์นาน โดยการที่กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาอยู่ในเว็บไซต์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แน่นอนว่าจะสะท้อนถึงความพึงพอใจในการใช้งานและส่งผลให้ Search Engine ให้คะแนนเว็บไซต์มากขึ้น

3. การทำ Sub Keyword
แน่นอนว่าการทำ SEO จะต้องให้ความสำคัญกับการทำ Main Keyword หรือคีย์เวิร์ดหลักเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปี 2022 นักการตลาดควรให้ความสำคัญกับการทำ Sub Keyword หรือคีย์เวิร์ดรองมากขึ้น เพราะ Search Engine พัฒนาระบบเพื่อให้รองรับการค้นหา Sub Keyword ที่มีความหมายใกล้เคียงกับ Main Keyword เพื่อการค้นหาข้อมูลตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นการเขียนคอนเทนต์เพื่อรองรับ SEO จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทั้งคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง เพื่อสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

จะเห็นว่าในปี 2022 การทำ SEO จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้นและแน่นอนว่าย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจ เพราะมีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะค้นหาธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้น นักการตลาดออนไลน์ที่ต้องการปั้นแบรนด์ให้ปัง อย่าลืมให้ความสำคัญกับการทำ SEO ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหาและอยู่ในใจผู้บริโภคเสมอ

3 แนวคิดพิชิต SEO ฉบับเข้าใจง่าย

3 แนวคิดพิชิต SEO ฉบับเข้าใจง่าย

การทำ SEO (search engine optimization) มีขั้นตอนการลงมือทำที่สลับซับซ้อนพอสมควร ถ้าคนที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านนี้มาก่อนหรือไม่ได้ศึกษามาทางด้านนี้โดยเฉพาะ อาจทำให้สับสนมึนงงได้ ส่วนมากผู้ประกอบการจึงมักใช้วิธีจ้างมืออาชีพเข้ามาทำ แต่ว่าก่อนที่จะจ้างใคร เราก็ควรศึกษาเรียนรู้พื้นฐานเอาไว้บ้างเพื่อจะได้คุยกับผู้รับจ้างได้ง่าย และเข้าใจตรงกัน วันนี้เราจะมาเรียนรู้แนวคิดของการทำ SEO ซึ่งมี 3 ข้อ ดังนี้

แนวคิดที่ 1 การเลือกใช้ keyword
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ก็คือการเลือกใช้ Keyword ซึ่งหมายถึงคำที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลหรือบทความใด ๆ จึงเป็นคำหลักที่ถูกนำมาใช้เป็นแก่นสร้างคอนเทนต์ ทั้งนี้ ควรเลือกใช้ถ้อยคำที่เฉพาะเจาะจง เช่น ขายเสื้อผ้าสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบ เป็นต้น ถ้าเปรียบคอนเทนต์เป็นร่างกาย keyword ก็เปรียบเสมือนหัวใจของคอนเทนต์ที่ขาดไม่ได้

แนวคิดที่ 2 การปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ (on-page)
เมื่อเลือก keyword ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การนำคอนเทนต์ที่เตรียมไว้อัปโหลดไปแสดงบนเว็บไซต์ คอนเทนต์อาจมีหลากหลาย ทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ หรืองานเขียน แต่ที่นิยมนำมาทำเป็น SEO คือคอนเทนต์ที่เป็นงานเขียนประเภทบทความให้ความรู้ โดยควรพิจารณาจุดปลีกย่อยดังต่อไปนี้

บทความต้องยาวแค่ไหน?
ความยาวของบทความขึ้นอยู่กับเนื้อหา มีตั้งแต่ 500 คำ ถึง 3,000 คำ หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้

บทความควรมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน?
จำนวนไม่สำคัญ เน้นที่คุณภาพเป็นหลักหรือที่เราเรียกว่าบทความเอเวอร์กรีน (evergreen) คุณภาพดีข้ามกาลเวลา อ่านในปี พ.ศ. ไหนก็ยังได้สาระความรู้อยู่

ภาพประกอบต้องมีหรือไม่?
บทความที่ดีควรจะมีภาพประกอบที่ทำให้ขยายความหมายได้ชัดเจนขึ้น ทั้งมีสีสันสวยงาม มีการใช้ภาษาที่เหมาะกับผู้รับสาร การทำภาพประกอบที่สวยงามเป็นจุดสำคัญในการดึงดูดสายตาคนอ่านได้มากขึ้นด้วย

ความสดใหม่
จุดสำคัญของคอนเทนต์ คือ ต้องเป็นบทความที่สดใหม่ ไม่ได้ไปคัดลอกใครมา เพราะทาง Google สามารถตรวจสอบได้ มีผลอาจถูกปิดกั้นการมองเห็น ที่สำคัญอาจถูกฟ้องร้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย

ต้องทำคลิปวิดีโอด้วยหรือไม่?
ปัจจุบันความนิยมดูคลิปวิดีโอมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เราอาจพิจารณาทำคลิปวิดีโอสอดแทรกลงไปในเว็บไซต์ของเราด้วยก็ได้ เช่น คลิปวิดีโอแนะนำการใช้งานสินค้า เป็นต้น

แนวคิดที่ 3 การทำ​ SEO นอกเว็บไซต์ (off-page)
ถามว่ามีความจำเป็นต้องทำ SEO นอกเว็บไซต์ไหม? คงต้องตอบว่า มีก็ได้ แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะจากสถิติพบว่าแม้ไม่มีเว็บไซต์ภายนอกลิงก์มายังเว็บไซต์ของเราเลย แต่ถ้าใช้ keyword ได้ถูกต้องแล้ว เว็บไซต์ของเราก็สามารถขึ้นหน้าแรกได้เหมือนกัน การทำ SEO นอกเว็บไซต์โดยมากจะเป็นตัวเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของเราเท่านั้นเอง

แม้ว่าการทำ SEO จะไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า SEO เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ ๆ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ได้อย่างมาก